<< Back
" หวงเหออู่อารยธรรม วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2543 "
(น.256)
รูป 191 พระพุทธรูปในถ้ำ
Buddha images in the caves.
(น.257) สวภาวะของตนเอง แต่ ธรรมะ หรือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่จริง มีสวภาวะ แต่ไม่มีบุคคลหรือตัวตนครองอยู่ ในบรรดาสำนักต่างๆ ในสาวกยานพวกสรรวาสติวาทินดูจะไปไกลที่สุด
ถือว่า ธรรมะเป็นจริงหรือมีสวภาวะในทั้ง 3 กาล คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อาจเรียกได้ว่าเป็นปรัชญาแบบสัจนิยม (Realism) พวกมหายานโดยเฉพาะพวกมาธยมกะไม่เห็นด้วยกับมติของสรรวาสติวาทิน
หนที่สอง พระพุทธเจ้าตรัส ปรัชญาปารมิตาสูตร อันเป็นหลักของพวกมาธยมกะ กล่าวถึง ศูนยตา ทั้งในแง่บุคคลและในแง่ธรรมะ ทั้งบุคคลและธรรมะไม่มีสวภาวะความเป็นตัวของตัวเองทั้งสิ้น มตินี้เกิดขึ้นเพื่อค้านพวกสรรวาสติวาทินโดยตรง
หนที่สาม พระพุทธเจ้าตรัสอวตังสกสูตร สนธินิรโมจนสูตรอันเป็นหลักของพวกโยคาจาร วิชญานวาท พวกนี้เห็นว่า การที่จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นศูนยะ ไม่มีสวภาวะ
ต้องมีจิตรับรู้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกระบวนการของจิตและการรับรู้ จิตเดิมเป็นสิ่งบริสุทธิ์ จิตเป็นใหญ่ในเรื่องต่างๆ ถือว่าเป็นคำสอนที่เป็น “มัชฌิมา” คือ เป็นกลางระหว่างสัจนิยมที่สุดโต่งของสรรวาสติวาทินกับศูนยตาวาทะที่สุดโต่งของมาธยมกะ
ข. ตามนัยของสัทธรรมปุณฑรีกสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักร 3 หน ดังนี้
หนแรก ทรงแสดง อวตังสกสูตร เป็นพื้นฐานเหมือนรากต้นไม้ กล่าวสภาพโดยรวมของสรรพสิ่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีปรวิสัยและอัตวิสัย
หนที่สอง ทรงแสดงพระสูตรอื่นโดยทั่วไป เปรียบเหมือนกิ่งก้านและใบของต้นไม้
หนที่สาม ทรงแสดง สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีราก กิ่งก้าน ใบ ครบบริบูรณ์ คือ มีทั้งด้านปรัชญาความคิด ด้านการปฏิบัติ จุดมุ่งหมายที่ทุกคนควรไปให้ถึงคือ การเป็นพระพุทธเจ้า
(น.258)
รูป 192 หน้าถ้ำ
In front of the cave.
(น.258) การที่ทำธรรมจักรเป็น 3 วง คงหมายถึง นัยแห่งการแสดงธรรมจักรอย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวมานี้ เรื่องญาณทัสสนะอันมีปริวัฏฏ์ 3 ก็มีอยู่ในคัมภีร์ทางฝ่ายมหายานเช่นกัน
ไม่จำเพาะมีในทางเถรวาทหรือสถวีรวาทเท่านั้น เพราะฉะนั้นที่ปรากฏอยู่นี้จะจำหน่ายว่าทำตามมติใดมติหนึ่งใน 3 อย่างให้แน่นอนลงไปนั้น ยังไม่หลักฐานเพียงพอ เป็นแต่สันนิษฐานว่าน่าจะตามมติใดมติหนึ่งที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น