<< Back
" เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนนอก วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2544 "
(น.128) วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2544
ตื่นมาตอนเช้า เตาอบในห้องครัวร้องติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊งๆๆๆ ไม่หยุดมันร้องอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อคืน ทำอย่างไรก็ไม่หยุด แต่ก่อนนี้ไม่เห็นจะร้องอยู่ในห้องนอนเปิดประตูไม่ได้ยิน
ปิดประตูห้องหนังสือ ซ้อมสีซอจีนยังไม่ได้ความ
วันนี้ป้าจันกับหมอเอกชัยมารำมวยจีนด้วย มีท่าเด็ดพอดี คือ ท่านั่งลงไปกับพื้นและลุกขึ้นยืนขาเดียว ยังนั่งไม่ลงแถมกางเกงขาดแควก
ขึ้นมาเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมาจัดการให้เตาหยุดร้องเรียบร้อยแล้ว
พอครูฟั่นมาหมอเอกชัยตรวจมือที่เจ็บ ให้แช่น้ำร้อนทุกเช้า
เรียนภาษาจีน เรียนศัพท์ และอ่านบทเรียนต่อจากเมื่อวานนี้ และอ่านประวัติคำพังเพยอีกบท
อาจารย์จังมาบอกว่าคืนนี้ดูบัลเล่ต์ทุ่มหนึ่ง รองอธิการบดีฉือจะไปรอรับ ที่อธิการบดีจะเลี้ยงอยู่แถวๆ หยวนหมิงหยวน
เรียนสนทนาเรื่องสตรีกับการเมือง และการศึกษาของสตรี
รับประทานวันนี้มีผักผัดกับผัดเต้าหู้ ซุป ในหนังสือเรียนมีเรื่องไข่ตุ๋นก็เลยทำไข่ตุ๋นอีกอย่างหนึ่ง
ครูหวังเยี่ยมาเมื่อคืนนี้ชอบไก่ทอดกระเทียมพริกไทยรากผักชี ครูฟั่นอธิบายไม่ถูกมาถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสหรือจีนเรียกรากผักชีว่าอะไร จะโทร. บอกสถานทูตให้เอามาก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์
รับประทานแล้วซ้อมดนตรีพักหนึ่ง รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วก็เลยทำการบ้านภาษาจีน ชักรู้สึกเหมือนเป็นหวัดก็เลยดื่มน้ำ
(น.129) รูป 143 มวยจีน มีป้าจันยืนดู
Practising Taiji with Auntie Chan as an audience.
(น.129) ครูสีซอมาถึงให้สีเพลงไช่หม่า แล้วบอกว่าสีเร็วอย่างนั้นไม่ไหว หน้าก็เครียดเบี้ยวบูด มือก็เกร็ง ที่จริงเป็นเพราะข้าพเจ้าพยายามสีตามเทปแล้วสีไม่ได้ ค่อยๆ สีก็ดีเหมือนกัน พอเห็นเครียดเต็มทีก็ให้กลับไปสีเพลงประเภท happy birthday
(น.130) ครูฟั่นบอกว่าโทรศัพท์ไปที่ห้องสมุดชนกลุ่มน้อย ตอนแรกผู้อำนวยการยังไม่อยู่ คนอื่นๆ ไม่มีใครรู้เรื่อง พอผู้อำนวยการมาบอกว่าเขาก็ทำงานด้านศึกษาคัมภีร์ใบลานมาหลายปี
ยังไม่เคยเห็นบัญชีคัมภีร์สันสกฤตจากทิเบต ถ้ามีคงเป็นแค่รายชื่อคัมภีร์ที่พนักงานจดไว้เองเป็นส่วนตัว ไม่มีการจัดพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราว คัมภีร์โปตาลานั้นมีกองเป็นภูเขา ทำบัญชี 100 ปีก็ไม่เสร็จ แล้วต้องใช้เงินใช้คนเยอะแยะ
พุทธสมาคมให้หนังสือเรื่อง ประติมากรรมพุทธศาสนาในมณฑลซานซี ดีมาก อธิบายเรื่องลวดลายต่างๆ สีที่ใช้เป็นอย่างไร อาจารย์จังเยี่ยนชิวให้ที่คั่นหนังสือ ซึ่งเป็นของที่ระลึกมหาวิทยาลัยปักกิ่งครบ 100 ปี และฉากเล็กๆ ด้านหนึ่งเป็นรูปหมีแพนด้า อีกด้านหนึ่งเป็นรูปกำแพงเมืองจีน
ป้าจันมาทำกับข้าวให้เป็นไก่ผัดกะปิ
อ้อยกับวิทยา (ทีวีช่อง 9) มาแล้ว เตรียมการว่าจะถ่ายทำข่าวอย่างไร บอกว่าจะมาพรุ่งนี้เช้าถ่ายตอนวิ่ง
สักประเดี๋ยวครูฟั่นมาอีกบอกว่า นั่งรถไปฟังพยากรณ์อากาศในวิทยุ บอกว่าพรุ่งนี้จะมีพายุทราย ก็เลยไปซื้อผ้าพันคอไหมบางๆ ผืนใหญ่มา ถ้ามีพายุทรายก็ให้เอาผ้านี้คลุมหัว
ทุ่มหนึ่งเดินไปโรงละครมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ไปทางห้องสมุดเลยออกไปอีกหน่อยหนึ่ง รองอธิการบดีฉือมารับ แนะนำหัวหน้าคณะบัลเล่ต์ของปักกิ่ง เขาบอกว่าคณะบัลเล่ต์นี้ตั้งมา 40 กว่าปีแล้ว
มีความสัมพันธ์อันดีกับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เวลามีการแสดงใหม่ๆ ก็จะมาแสดงที่มหาวิทยาลัยเสมอ ในโรงเรียนนาฏศิลป์เด็กเริ่มเรียนบัลเล่ต์ตั้งแต่อายุ 9 ปี แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ชอบให้ลูกเรียนพิเศษบัลเล่ต์ ดนตรี วาดภาพ เริ่มตั้งแต่อายุ 4-5 ปี
โรงละครแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ.1998 ตอนฉลองมหาวิทยาลัยปักกิ่งครบ 100 ปี
รายการคืนนี้เป็นรายการรับฤดูชุนเทียน มี 3 รายการ
(น.131) รูป 144 ที่โรงละคร คุยกับรองอธิการบดีก่อนดูบัลเล่ต์
Talking with the Vice Chancellor at the University theatre.
(น.131) รายการแรก เป็นบัลเล่ต์เรื่อง หวงเหอ มีผู้แต่งเพลงเอาไว้นานแล้ว แต่นักเปียโนเพิ่งเอามาแต่งเป็นบทสำหรับเล่นเปียโนและใช้แสดงระบำบัลเล่ต์ได้
ท่อนที่เอามาเล่นคืนนี้เล่นเรื่องแม่น้ำหวงเหอว่าเป็นแม่น้ำที่ทรงพลัง (มีคลื่น) หล่อเลี้ยงชีวิตคนจีน ต่อมาเกิดภัยญี่ปุ่นบุก และคนจีนลุกขึ้นต่อต้านญี่ปุ่น
รายการที่สอง เป็นเรื่องที่นำมาจากนิทานโบราณ เรื่อง เหลียงซานโป๋กับจู้อิงไถ ดูเหมือนว่าผู้ที่เอามาเป็นบัลเล่ต์จะเป็นชาวสวิส เล่นครั้งแรกที่เซี่ยงไฮ้
ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมาก ผู้ชมซาบซึ้งถึงกับร้องไห้ เรื่องมีอยู่ว่า มีสาวน้อยแสนสวยแสนฉลาดคนหนึ่งชื่อ จู้อิงไถ อายุ 17 ปี เธออยากจะไปเรียนหนังสือ แต่พ่อแม่ไม่อนุญาต ในที่สุดก็ต้องยอมให้แต่งตัวเป็นผู้ชายไปเรียนหนังสือที่หังโจว ระหว่างทางได้พบชายหนุ่มชื่อ
(น.132) รูป 145 เซ็นสมุดเยี่ยม
Signing the visitors' book.
(น.132) เหลียงซานโป๋ อายุ 18 ปี สองคนเดินไปโรงเรียนด้วยกัน ระหว่างที่เรียนเป็นเพื่อนสนิทกันเอื้ออาทรต่อกัน แต่เหลียงซานโป๋ ไม่ทราบว่า จู้อิงไถเป็นผู้หญิง ยังเรียนไม่ทันจบ พ่อเรียกให้จู้อิงไถกลับบ้าน
ไม่กลับก็ไม่ได้ เหลียงซานโป๋เรียนต่อ แต่เดินไปส่งจู้อิงไถ ระหว่างทางจู้อิงไถพยายามบอกใบ้หลายครั้งว่าตนเองเป็นหญิง เช่น ครั้งหนึ่งเดินผ่านบ่อน้ำชวนให้เหลียงซานโป๋ชะโงกดูเงาของสองคนแล้วบอกว่า
“ดูซิ เราสองคนเหมือนเป็นสามีภรรยากัน” เหลียงซานโป๋ไม่พอใจบอกว่า “เธอเห็นฉันเป็นผู้หญิงหรือ” จู้อิงไถเลยไม่ทราบว่าจะบอกว่าอย่างไร เมื่อจะต้องลาจากกัน
จู้อิงไถบอกเหลียงซานโป๋ว่าตนมีน้องสาวคนหนึ่งหน้าตาเหมือนกัน เรียนจบแล้วให้มาที่บ้านและสู่ขอน้องสาว เหลียงซานโป๋ดีใจมาก เมื่อจู้อิงไถกลับบ้านจึงทราบว่าพ่อจะให้แต่งงานกับลูกขุนนางคนหนึ่ง แต่จู้อิงไถไม่ยอมเพราะจะคอยเหลียงซานโป๋ พ่อโกรธมากบอกว่าจะไปแต่งงานกันอย่างไรเหลียงซานโป๋เป็นคนจน
เมื่อเหลียงซานโป๋เรียนจบมาที่บ้านจู้อิงไถจึงทราบว่า จู้อิงไถเป็นผู้หญิง แต่เขาถูกพ่อของนางไล่ออกจากบ้านไปและตรอมใจตาย พอรู้ข่าวว่าเหลียงซานโป๋ตาย จู้อิงไถร้องไห้ 3 วัน 3 คืน
หลังจากนั้นบอกพ่อว่าจะยอมแต่งงาน แต่ว่าวันที่นั่งเกี้ยวไปบ้านเจ้าบ่าวขอให้ผ่านฮวงซุ้ยของเหลียงซานโป๋ พ่ออนุญาต เมื่อเกี้ยวไปถึงฮวงซุ้ย จู้อิงไถลงจากเกี้ยวร้องไห้ อากาศครึ้มฝนตกฟ้าคะนอง ฮวงซุ้ยก็เปิดกว้าง จู้อิงไถกระโดดลงไป ฮวงซุ้ยปิด อากาศกลับดี มีผีเสื้อสองตัวบินออกมาจากฮวงซุ้ย คงจะเป็นวิญญาณของทั้งสองคน
(น.133) รูป 146 ถ่ายรูปกับนักแสดง
A photograph taken with the ballet troupe.
(น.133) บัลเล่ต์นี้เล่นดีมาก ฉากเป็นแบบสมัยใหม่ มีความหมายดี เมื่อจบหยุดครึ่งเวลาพักผ่อน
ครึ่งหลังเล่นเรื่องฤดูใบไม้ผลิ เป็นบัลเล่ต์แบบสมัยใหม่เพลงของสตราวินสกี้ ดูไม่เข้าใจ ฤดูใบไม้ผลิน่าจะเป็นสีเขียวๆ แต่นี่ทุกคนแต่งสีน้ำตาล แล้วมีมือยักษ์โผล่ขึ้นมา 4-5 มือไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร
เมื่อบัลเล่ต์จบ ขึ้นไปบนเวที ถ่ายรูปกับนักแสดง ขากลับนั่งรถกลับ ลงจากรถรู้สึกว่าคืนนี้ลมพัดแรงฝุ่นฟุ้ง หงเอี้ยนบอกว่าพรุ่งนี้ถ้าลมพัดแบบนี้อย่าลงไปวิ่งเลย เดี๋ยวจะไม่สบาย
กลับที่พัก เมื่อเขาไปกันหมดแล้ว อาบน้ำแล้วเขียนบันทึก