Please wait...

<< Back

เวินเจียเป่า

จากหนังสือ

ต้นน้ำ ภูผา และป่าทราย
ต้นน้ำ ภูผา และป่าทราย หน้า 216-220

(น.216) นอกจากนั้นทางมูลนิธิยังให้ภาพยนตร์บทกวีราชวงศ์ถัง ซ่ง และหนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ต่างๆ รวม 138 เล่ม ลูกอุปนายกจาง อายุ 15 เป็นนักเขียน ให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง
เมื่อเสร็จพิธีแล้วออกไปนั่งที่ห้องเดิม แต่แรกข้าพเจ้าเข้าใจว่า ให้คุยกับหวังเหมิ่งและฟังฟัง เป็นการส่วนตัว ที่แท้คุยไปพักหนึ่ง เพิ่งทราบว่าเป็นการออกรายการโทรทัศน์ มีนักจัดรายการมีชื่อจากฮ่องกงมาทำรายการ ที่จริงนับว่ารางวัลนี้เป็นรางวัลสำคัญ ข้าพเจ้าเป็นคนที่ 3 ที่ได้ ผู้ที่เคยได้คนแรกคือ Helen Snow ภริยาของ Edgar Snow นักเขียนมีชื่อที่ถือว่าเป็นมิตรที่ดีของรัฐบาลจีน ตัวเธอเองก็เป็นนักเขียนบทความเกี่ยวกับจีนเช่นเดียวกัน รับรางวัล ค.ศ. 1991 เสียชีวิต ค.ศ. 1997 คนที่สองคือ หันซู่อินหรือที่คนไทยเรียกว่า ฮันซูหยิน เป็นนามปากกาของนักเขียนลูกครึ่งจีน-เบลเยียม เกิด ค.ศ. 1917 เขียนหนังสือเกี่ยวกับจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย รับรางวัล ค.ศ. 1994 เมื่อเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้วกลับไปที่เรือนรับรองเตี้ยวอวี๋ไถ เดินดูของที่ร้าน ตอนค่ำรองนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าเลี้ยงที่อาคารหยังหยวนไจ ในบริเวณเตี้ยวอวี๋ไถนั่นเอง ท่านรองนายกฯ บอกว่ามณฑลต่างๆ ที่ข้าพเจ้าไปคราวนี้แม้แต่คนจีนยังไม่ค่อยได้ไป เสียดายที่ไม่ได้ไปดูสุสานราชวงศ์เซี่ย (พวกซีเซี่ย) ที่หนิงเซี่ย เพราะราชวงศ์เซี่ยก็ถือว่าสร้างประวัติศาสตร์ที่สำคัญเหมือนกัน เคยรบกับกุบไลข่าน

(น.217) รูป 166 รองนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าเลี้ยงที่อาคารหยังหยวนไจในบริเวณเตี้ยวอวี๋ไถ

(น.217) สำหรับความสัมพันธ์ไทยจีนนั้นมีความไว้ใจกัน แลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนสม่ำเสมอ และมีแผนสำหรับศตวรรษที่ 21 ด้วยกัน เรียนรู้จากกัน เช่น เมื่อมีวิกฤตทางเศรษฐกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เน้นเรื่องการเกษตร ท่านรองนายกฯ ท่องกลอนให้ฟัง เป็นบทกวีของหวังฉังหลิงที่ได้ประพันธ์ไว้เป็นชุด รวม 7 บท ชื่อ บทเพลงเดินทัพ (從軍行) มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับสภาพและทหารที่ไปประจำอยู่ ณ ชายแดน บทนี้เป็นบทที่ 4 เส้นทางชิงไห่-กานซู่ ไปด่านอวี้เหมินนั้น ระยะทางห่างกันมาก มีภูเขาหิมะ (ฉีเหลียนซาน) ซึ่งยาวมาก อยู่ระหว่างมณฑลทั้งสอง มีเมืองเดี่ยวเมืองหนึ่งอยู่โดดๆ ซึ่งก็คือ เมืองชายแดนที่ทหารไปประจำการอยู่ ในสมัยราชวงศ์ถังทหารชายแดนพวกนี้ทำหน้าที่ 2 ประการคู่กันไป กล่าวคือ ป้องกันไม่ให้ชนเผ่าถู่โป๋ (ทิเบต) ซึ่งอยู่ทางเหนือรุกรานเข้ามา ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการรุกรานของพวกถูเจี๋ย (เตอร์ก) และคอยป้องกันไม่ให้พวกถู่โป๋-ถูเจี๋ย ติดต่อเชื่อมโยงกันได้ด้วย บทกวีมีความตามคำแปลภาษาไทยว่า
ชิงไห่ เมฆทอดยาว ภูเขาหิมะมืดครึ้ม
เมืองโดดเดี่ยว มองไปไกลยังด่านอวี้เหมิน
ทรายสีเหลือง รบร้อยครั้ง เกราะโลหะสึก
หากพิชิตโหลวหลานมิได้ ไม่กลับบ้าน

(น.218) บทกวีนี้เคยเรียนมานานแล้วแต่ไม่เข้าใจ คิดว่าชิงไห่ เป็นชื่อมณฑลตามที่รู้และใช้กันแพร่หลาย แต่ในที่นี้หมายถึง ทะเลสาบชิงไห่ ไม่ใช่มณฑลชิงไห่ ส่วนด่านอวี้เหมินอยู่ในมณฑลกานซู่ โหลวหลานเป็นชื่อเมือง มีอำนาจเจริญรุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ค.ศ. 176 ก่อนคริสต์กาล-คริสต์ศตวรรษที่ 7 ) ที่นี่นักโบราณคดีค้นพบเจดีย์พุทธศาสนา เหรียญเงิน กำแพงเมือง ไม้จารึก ประติมากรรมไม้ และเศษเครื่องปั้นดินเผา ปัจจุบันเมืองนี้อยู่ในภูมิภาคปกครองตนเองซินเกียง ที่จริงแล้วกวีกล่าวถึงดินแดนทางตะวันตกของจีนซึ่งเป็นทะเลทราย มีเขตอุดมสมบูรณ์เป็นหย่อมๆ อยู่ห่างกัน เขตที่อุดมสมบูรณ์ก็จะมีคนตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนเป็นเมือง ทะเลสาบชิงไห่ (ที่เราได้ไปในการเดินทางครั้งนี้) ถึงจะเป็นทะเลสาบน้ำเค็มก็เป็นห้วงน้ำใหญ่ที่สุด มีความชุ่มชื้นปกคลุมด้วยเมฆฝน มองจากทะเลสาบชิงไห่เห็นภูเขาฉีเหลียนปกคลุมด้วยหิมะ ด่านอวี้เหมินอยู่นอกเขตจงหยวนเป็นด่านสำคัญในทะเลทราย ส่วนกูเฉิงหรือเมืองโดดเดี่ยวในบทกวีนี้คงจะหมายถึง ที่ตั้งกองทหารจีนที่มุ่งมั่นว่าต้องตีเมืองโหลวหลาน (อยู่แถบทะเลสาบหลัวปู้พอ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ทะเลสาบลบนอร์) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ให้ได้ หากภารกิจไม่สำเร็จก็จะไม่กลับบ้าน
บาทที่ 3 ของบทกวีนี้สื่อความถึงความกล้าหาญของเหล่าทหารชายแดน รบกันถึง 100 ครั้ง จนเสื้อเกราะสึกแทบขาด ฝุ่นทรายสีเหลืองฟุ้งไปทั่ว

(น.219) บทกวีบทที่ 2 ที่รองนายกรัฐมนตรีท่องให้ฟังเป็นบทกวีของประธานเหมาเจ๋อตุง แต่งเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1935 แต่งเลียนแบบบทกวีโบราณ ตามทำนองที่เรียกว่า ชิงผิงเย่ บทกวีนี้ชื่อ ภูเขาลิ่วผาน ถอดความเป็นภาษาไทยว่า
ฟ้าสูง เมฆบาง มองนกนางแอ่นบินไปทางใต้จนสุดสายตา
ถ้าไม่ถึงกำแพงเมืองจีน ไม่ใช่ชายชาตรี
นับได้ว่าเดินทางผ่านไปแล้วสองหมื่นลี้
บนยอดเขาสูง ภูเขาลิ่วผาน
ธงแดงโบกสะบัดในสายลมตะวันตก
วันนี้มีสายแพรยาวในมือ
จะมัดมังกรทิศตะวันออกเมื่อไร
ขณะที่เขียนบทกวีนี้ประธานเหมาอยู่ที่บริเวณเทือกเขาลิ่วผาน หรือที่เรียกว่า ภูเขาหล่ง อยู่ที่มณฑลหนิงเซี่ย อำเภอกู้หยวน ที่กล่าวว่ามองนกนางแอ่นบินไปทางใต้นั้น สื่อความคิดถึงสหายสงครามที่เสียชีวิตไปในพื้นที่ทางใต้ พวกทหารกองทัพแดงส่วนมากมีญาติพี่น้องอยู่ที่บ้านเดิมแถบทางใต้ และยังมีกลุ่มทหารที่ทำสงครามกองโจรอยู่ทางใต้ด้วย บาทที่กล่าวถึงกำแพงเมืองจีน หมายถึง กำแพงเมืองจีนตอนกลาง ซึ่งอยู่ทางเหนือของมณฑลส่านซี พื้นที่แถบนี้เป็นจุดมุ่งหมายของกองทัพแดง ส่วนคำกล่าวที่ว่า ไม่ถึงกำแพงเมืองจีน ไม่ใช่ชายชาตรี เป็นสำนวนแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

(น.220) ที่กล่าวถึงสายแพรยาวเปรียบเทียบกับสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ส่งทหารไปจับหนานเยว่หวัง (กษัตริย์แห่งหนานเยว่) ก่อนที่จะเดินทางไป นายพลทูลขอสายแพรยาวจากฮั่นอู่ตี้ เพื่อที่จะมัดหนานเยว่หวังกลับมา มังกรดำ หรือชังหลง เป็นกลุ่มดาวฤกษ์ทิศตะวันออก มี 7 ดวง รวมกันเรียกว่า ชังหลง มีความหมายว่า มังกรเขียวหรือน้ำเงินอมดำ ตามคติความเชื่อของจีน ทิศหนึ่งมีดาว 7 ดวง 4 ทิศ รวม 28 ดวง ดาวเหล่านี้ใช้ในการผูกดวง ดูดวงชะตาด้วย ทิศตะวันออกในบทกวีสื่อความถึงทิศทางที่ไปนครหนานจิง ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) “จะมัดมังกรทิศตะวันออกเมื่อไร” ให้นัยว่า จะไปปราบเจียงไคเช็ค ศัตรูซึ่งอยู่ทางตะวันออกเมื่อไร เป็นคำถามที่แสดงถึงความมุ่งมั่นอยากไปให้ถึงจุดมุ่งหมายโดยเร็ว ท่านรองนายกฯ เล่าให้ฟังว่าท่านเป็นคนดูแลเรื่องเศรษฐกิจและชลประทาน มีปัญหาเรื่องน้ำแล้งและน้ำท่วม เช่น เมื่อ ค.ศ. 1998 ต้องเกณฑ์ทหาร 300,000 นาย ยิ่งกว่าต่อสู้ศัตรูที่เป็นคน เรื่องชลประทานถือว่าเป็นหัวใจ ความรุ่งเรืองความเสื่อมของประเทศขึ้นกับชลประทาน ตอนนี้กำลังทำโครงการแม่น้ำโขง ศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาด้านต่างๆ เช่น คมนาคม อุทกวิทยา กลับที่พัก