<< Back
" มุ่งไกลในรอยทราย วันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2533 "
(น.218) รูป 140. บริเวณถ้ำโมเกาที่ตุนหวง
The area of Mogao cave at Dunhuang.
(น.219) จันทร์ที่ 16 เมษายน 2533
ตื่นมาวันนี้รู้สึกหนาว เลยลุกขึ้นวิ่งอยู่กับที่พักหนึ่ง ค่อยยังชั่วหน่อย อาหารเช้าวันนี้มีกับข้าวหลายอย่าง ข้าวต้มใส่พุทรา มีเครื่องข้าวต้มหลายอย่าง มีปาท่องโก๋ ไข่ดาว ขนมปัง มีดอกแอปเปิ้ลกับดอกท้อปักแจกันตั้งโต๊ะอาหารให้ด้วย
เช้าวันนี้เราจะไปดูรูปภาพฝาผนังที่ถ้ำโมเกา ข้าพเจ้านั่งไปกับคุณเฉิง มีคุณหลิวนั่งข้างหน้า ส่วนเปียนเหมยไปนั่งรถข้างหน้า บอกว่ารถจอดจะวิ่งมาทันที
คุณเฉิงอธิบายเรื่องน้ำว่าใช้น้ำจากภูเขาฉีเหลียนทำอ่างเก็บน้ำแล้วส่งให้ชาวนาใช้ ชาวนาทำนาประมาณคนละ 3 โหม่ว คุณหลิวแปลให้เสร็จว่าไร่กว่าๆ บริเวณนี้อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,100 เมตร
ต้นไม้ออกใบเขียวเร็วกว่าที่หลานโจว ฉะนั้นแถวนี้ปลูกฝ้าย ผลไม้ ข้าวสาลี มีน้ำใช้พอสมควร แต่มีปัญหาอยู่ที่ลมแรง อาจทำให้พืชผลเสียหายได้ ขณะนี้สองข้างถนนก็เห็นมีการเพาะปลูกแล้วใช้ลาไถนาทั้งนั้น
การปลูกข้าวโพดต้องเอาพลาสติกปิดไว้ เพราะเขาปลูกพร้อมข้าวสาลี แต่ข้าวโพดต้องการอากาศอบอุ่นกว่า
ข้าวสาลีที่นี่ปลูกฤดูใบไม้ผลิ ถ้าทำเป็นโรงๆ เป็นที่ปลูกผัก
(น.220) การปลูกข้าวโพดปิดพลาสติกจะได้ผลผลิตมากกว่าไม่ปิด แต่คนไม่ชอบ เห็นจะเป็นเพราะต้นทุนสูง และข้าวโพดราคาไม่ดี
พอไปถึงที่หมาย อาจารย์ต้วน (ที่เคยไปอธิบายให้ที่หลานโจว และตามเรามาตลอดทาง) คอยต้อนรับ คุณเฉิงเล่า (ตั้งแต่ในรถ) ว่าอาจารย์ต้วนทำงานอยู่ที่ถ้ำนี้มา 40 กว่าปี เมื่อ 3 ปีก่อนภรรยาเสียก็ฝังอยู่แถวๆ นี้เอง
ที่ถ้ำโมเกานี้มีนักโบราณคดีมาทำงานอยู่หลายคน เช่นคนหนึ่งชื่อฟั่นจิงชือ เป็นผู้หญิง จบคณะโบราณคดีมาจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ทำงานที่นี่ 30 ปี มีลูก 2 คน อยู่ปักกิ่ง
พวกนักโบราณคดีที่เสียสละเรื่องส่วนตัวมาอยู่กันคนละนานๆ มีอิทธิพลมากในหมู่ประชาชน รัฐบาลก็มีความสนใจมาก พยายามอำนวยความสะดวกในเรื่องความเป็นอยู่ให้ อาจารย์ต้วนเขาก็ว่าอายุ 74 ปีแล้ว
มีเวลาน้อยที่จะทำงานจึงยิ่งเร่งการทำงาน เวลานี้ได้รวบรวมข้อมูลภาพฝาผนังเขียนเป็นหนังสือ ตั้งพิพิธภัณฑ์ถ้ำตุนหวง ขณะนี้คนมาเยี่ยมชมมากเกินไปถ้ำชำรุด ถ้ามีพิพิธภัณฑ์ก็จะช่วยระบายคนได้มาก กำลังร่วมมือกับญี่ปุ่นในด้านวิชาการ
อาจารย์ต้วนมาต้อนรับและแนะนำบุคคลต่างๆ ที่ร่วมงานกันมา แล้วพาเข้าไปนั่งดื่มน้ำชาในห้องรับแขก กล่าวต้อนรับในนามสถาบันวิจัยถ้ำตุนหวง กล่าวถึงศิลปกรรมที่ถ้ำแห่งนี้เป็นมรดกตกทอดของจีนและทั่วโลก
ถ้ำนี้สร้างใน ค.ศ. 366 ใช้เวลาถึง 10 ราชวงศ์ จนถึงปลายราชวงศ์หยวน เป็นเวลารวมแล้วพันกว่าปี ในปัจจุบันรักษาไว้แบบธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์นี้ต่างประเทศจะเทียบก็ไม่ได้ ถือว่ารักษาสมบูรณ์ที่สุดในโลก
ถ้ำนี้รักษาวัฒนธรรมพุทธศาสนา ทั้งในด้านภาพเขียนฝาผนังและประติมากรรม ดูแล้วจะเห็นวิวัฒนาการผสมผสานของวัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมซินเกียง วัฒนธรรมภาคตะวันตก วัฒนธรรมเอเชียใต้ เอเชียตะวันตก นักวิชาการล้วนกล่าวว่าตุนหวงเป็นจุดผสมผสานวัฒนธรรมจีนกับประเทศทางตะวันตก ศิลปกรรม
(น.221) รูป 141. ภายนอกถ้ำตุนหวง
Outside of Dunhuang caves.
(น.221) ที่มีอยู่นี้สะท้อนประวัติศาสตร์จีนหลายยุคหลายสมัย ชนชั้นต่างๆ และชนชาติต่างๆ ของจีนในขณะนั้น
ในถ้ำที่ 17 ได้พบคัมภีร์และเอกสาร 4-5 หมื่นเล่ม เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิชาการของจีน คัมภีร์และเอกสารเหล่านี้ถูกนำไปต่างประเทศเสียเกือบ 80%
ไปอยู่ในอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สหรัฐ ญี่ปุ่น และอินเดีย ในโลกนี้เกิดมีวิชาตุนหวงมาได้กว่า 80 ปีแล้ว
(น.222) สมาคมวิชาตุนหวงได้จัดสัมมนาวิชาการตุนหวงหลายครั้ง แต่จัดในต่างประเทศ เมื่อ 10 ปีมานี้จึงมาจัดในประเทศต้นกำเนิด หลังจากจีนใหม่ได้สถาปนาขึ้นมา
รัฐบาลจีนสนใจและให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมตุนหวง ทำให้รักษาได้ดี มีการค้นคว้ามาก งานศึกษาวิธีอนุรักษ์ได้เข้าสู่เวทีสัมมนาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเวลา 10 ปีที่มีการปฏิรูปเปิดประเทศ
การค้นคว้ายิ่งรุดหน้าไปรวดเร็ว ปี 1987 จัดการสัมมนาระหว่างประเทศที่ถ้ำโมเกา การสัมมนาได้รับผลสำเร็จทางวิชาการมาก ในเดือนตุลาคมปีนี้ (2533)
จะจัดการประชุมนานาชาติในถ้ำเป็นครั้งที่ 2 จะเชิญนักวิชาการ 15 ประเทศมาร่วมสัมมนา จะต้องขออภัยที่สถาบันไม่ทราบว่าเมืองไทยมีผู้เชี่ยวชาญด้านถ้ำตุนหวงหรือไม่ ถ้ามียินดีจะเชิญ
วิชาตุนหวงเป็นวิชาที่กว้างขวางมาก คือ
1. วิจัยถ้ำ
2. วิจัยตำราประวัติศาสตร์
2. ประวัติเส้นทางสายแพรไหม
วัฒนธรรมถ้ำเป็นวัฒนธรรมพุทธศาสนา ฉะนั้นน่าจะมีคนไทยสนใจ
จะขอแนะนำสถาบันอย่างคร่าวๆ ว่ามีการทำงานมาตั้งแต่ก่อนสมัยปลดปล่อย โดยตั้งเป็นสถาบันวิจัยศิลปกรรม เมื่อปลดปล่อยแล้วขยายเป็นสถาบันวิจัยศิลปกรรมและโบราณคดี คุ้มครองรักษาวัตถุโบราณ ใน ค.ศ. 1984 ทางการจึงขยายให้เป็นสถาบันวิจัยตุนหวง แบ่งออกเป็น 5 สาขา คือ
1. การบำรุงรักษาถ้ำ
2. โบราณคดี ค้นคว้าว่าถ้ำสร้างในสมัยใด สัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างไร
(น.223)
3. ศิลปกรรม ทั้งด้านจิตรกรรมและประติมากรรม (ด้านลวดลาย)
4. การศึกษาเอกสารต่างๆ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ ดาราศาสตร์ การแพทย์ เป็นต้น
5. เรื่องดนตรีและการฟ้อนรำ ดูจากแผนที่แสดงวิวัฒนาการของวัฒนธรรมการแสดงทุกยุคทุกสมัย
สถาบันมีพนักงาน 210 คน มีนักวิจัย 100 กว่าคน 26 คนเป็นศาสตราจารย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ กิจกรรมยังอยู่ในช่วงพัฒนา จะเล่าให้ฟังตอนที่เข้าดูถ้ำ
จากนั้นนั่งรถไปถ้ำ เห็นเจดีย์โบราณมากมาย คุณเฉิงบอกว่าเป็นที่ฝังศพพระสมัยก่อน
อาจารย์ต้วนอธิบายว่ามีเวลาน้อย ถ้ำทั้งหมดมีอยู่ 492 ถ้ำ แต่จะให้ดูได้แค่ 8 ถ้ำ (เวลาดูจริงๆ อาจารย์เพิ่มให้เป็น 10 ถ้ำ) เฉพาะที่ท่านคิดว่าข้าพเจ้าจะสนใจ เช่น พระพุทธรูปสมัยอู่เจ๋อเทียน
(บูเช็กเทียน) แต่ก็บูรณะกันมาจนไม่เหมือนเดิมไปแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้ใหญ่เป็นที่ 4 ของโลก องค์ที่ 1 อยู่ที่เขาลั้วซาน เสฉวน สูง 70 กว่าเมตร องค์ที่ 2 สูง 53 เมตร อยู่อัฟกานิสถาน
องค์ที่ 3 อยู่ที่ปามีร์ ปากีสถาน สูง 35 เมตร องค์ที่ 4 คือองค์นี้ สูง 33 เมตร สร้างสมัยราชวงศ์ถัง มีระเบียงสำหรับเดินเข้าไปในถ้ำ สมัยก่อนเป็นไม้แต่ผุพังไปหมดแล้ว ซ่อมแซมใหม่เป็นซีเมนต์
บูรณะประมาณ ค.ศ. 1960 กว่าๆ อดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลให้งบประมาณถึงล้านหยวน เฉลียงที่สร้างขึ้นใหม่จะมีความมั่นคง ทนแผ่นดินไหวระดับที่ 7 ได้ ถ้ำมี 4 ชั้น
ก่อนอื่นเราเข้าไปที่ถ้ำ 158 ถ้ำนี้มีทั้งสมัยราชวงศ์ถังตอนกลางและราชวงศ์เซี่ย มีพระนอนองค์ใหญ่ ด้านหลังพระนอนปางปรินิพพานหัน
(น.224) รูป 142. บริเวณถ้ำตุนหวงเป็นแหล่งศึกษาศิลปะวิทยาการต่างๆ จะมีวิชาการที่เรียกว่าวิชาตุนหวง
Because Dunhuang caves provide such an immense source of materials for studying arts and other related sciences,
the area has become a research centre, and the studies of Dunhuang materials have come to be know as Dunhuangology.
(น.224) พระเศียรทางทิศใต้ มีรูปพระสาวกที่สำเร็จมรรคผลแล้วก็สงบนิ่งอยู่ ส่วนพระสาวกที่ยังเป็นปุถุชนก็ร่ำไห้อาลัยรักองค์สมเด็จพระบรมศาสดา
ภาพรายละเอียดในถ้ำนี้น่าสนใจมาก มีเรื่องกษัตริย์ต่างๆ ที่ทราบข่าวก็มาเพื่อถวายบังคมพระบรมศาสดา ดูจากหน้าตาและการแต่งกายเป็นทิเบต จีน คนกลุ่มน้อยทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
พวกคาซัก ชาวทูโป๋ (ทิเบต) ผู้หนึ่งเสียใจที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเลยแทงตัวตาย ชาวเอเชียกลางตัดหู เป็นธรรมเนียมของเขาว่าผู้ที่ตนรักเคารพ เช่น พ่อ แม่ ตายต้องตัดหูตัดจมูกหรือกรีดหน้า ตรงฐานชุกชีมีภาพคนตีลังกา อธิบายว่าเป็นคนต่างศาสนากระโดดโลดเต้นดีใจที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
เพดานทำเป็นภาพสวรรค์ ทางทิศตะวันตก ตามคติทางพุทธศาสนาไม่ทราบว่าตามคัมภีร์อะไร อาจารย์ต้วนไม่ได้บอก อาจจะเป็นสวรรค์ของ
(น.225) พระอมิตาภะ ในคัมภีร์สุขาวตีวยูหะก็ได้ (ข้าพเจ้าคิดเอง) ภาพพระพุทธเจ้าประจำ 4 ทิศ
ถ้ำที่ 130 มีพระพุทธรูปถังปางมารวิชัย สร้างขึ้นในปีที่ 7 ของรัชกาลที่ 7 (ถังเสวียนจง) พระพุทธรูปนี้ไม่ได้ซ่อมแซม นอกจากที่พระหัตถ์นิดหน่อย ข้างๆ เขียนรูปพระโพธิสัตว์ ราชวงศ์ถัง (หน้าดำ) สูงประมาณ 10 เมตร
ถือว่าเป็นภาพฝาผนังที่สูงที่สุด รัศมีของพระพุทธรูปเป็นลายสมัยซีเซี่ย อาจารย์ต้วนเล่าว่าในตอนแรกพระพุทธรูปองค์นี้ปิดทองทั้งองค์ แต่ถึงราชวงศ์ชิงมีขโมยมาขโมยทองไป สังเกตว่าพระพุทธรูปในสมัยราชวงศ์ถังจะแสดงความอุดมสมบูรณ์ แข็งแรง และสง่างาม
ถ้ำที่ 220 ดูนายช่างกำลังลอกภาพ ถ้ำนี้สร้างในปีที่ 16 แห่งรัชกาลพระเจ้าถังไท่จ
ง
ถ้ำที่ 217 เป็นถ้ำราชวงศ์ถังในสมัยที่เจริญที่สุด การเขียนลายละเอียดมาก มีสีมากขึ้น แสดงสวรรค์ในพุทธศาสนา ตามคัมภีร์ฝ่าหัวจิง
(น.226) (สัทธรรมปุณฑริก?) มีใจความว่าพระพุทธเจ้าทรงเกื้อกูลประชาชนทั่วทั้งปฐพี เบิกลู่ทางให้สัตว์โลกทั้งปวงให้ล่วงพ้นภัยในวัฏสังสาร
ภาพที่เขียนประกอบเป็นภาพผู้ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาขอคัมภีร์ภาพพุทธประวัติตอนเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ ข้อที่ควรสังเกตคือการเขียนรูปพระได้อย่างมีชีวิตชีวา แฝงลักษณะของคนจีนไว้
ออกมาข้างนอกเพื่อเดินลงมาชั้นล่าง อาจารย์ต้วนอธิบายว่าถ้ำนี้สมัยราชวงศ์ถังทำเป็น 3 ชั้น สมัยอู่ใต้ (ห้าราชวงศ์) เป็น 5 ชั้น ราชวงศ์ชิง เพิ่มเป็น 9 ชั้น
ถ้ำที่ 96 เป็นถ้ำพระพุทธรูปที่ว่าสูงเป็นที่ 4 อนุญาตให้ประชาชนเข้าบูชาได้ แต่เดิมไม่อนุญาต คนก็โยนเงินบริจาคเอาไว้ แล้วก็มีคนมาเก็บ ดูไม่เข้าที ก็เลยตั้งตู้เผื่อจะได้เงินไปบูรณะ
ถ้ำที่ 254 สมัยก่อนราชวงศ์ถัง มีพระพุทธรูปสมัยราชวงศ์เป่ยเว่ย สร้างประมาณในช่วง ค.ศ. 439-534 ประทับขัดสมาธิหลวมๆ หรือห้อยพระบาท
ภาพผนังในถ้ำเป็นเรื่องนิทานชาดก อาจารย์ต้วนบอกว่ามาจากคัมภีร์บารมี 6 หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า ลิ่วตู้จี๋จิง เราได้ดูภาพชาดกในถ้ำนี้ 2 เรื่อง
เรื่องแรกมีนิทานอยู่ว่า มีนายพราน 3 พี่น้องเดินทางไปในป่าพบเสือแม่ลูกอ่อนมีลูก 6 ตัวกำลังหิวโหยแทบจะอดตาย พี่สองคนหนีไปแต่น้องคนเล็กสงสาร จึงขึ้นไปโดดหน้าผาตาย เพื่อเป็นอาหารของเสือแม่ลูกอ่อนนั้น พี่กลับมาเห็นเสียใจมาก นำบิดามารดามาเก็บกระดูก และสร้างเจดีย์เอาไว้
(น.227) รูป 143. เราไปดูหลายห้อง ก็ยังมีที่น่าดูอีกมาก แต่ไม่มีเวลา
We visited several chambers. There were still more caves worth seeing but we did not have enough time to see all of them.
(น.227) ได้ทราบว่าภาพเขียนเรื่องนี้มีชื่อเสียงมากในด้านจิตรกรรม นักเรียนที่เรียนวิชาศิลปะต้องมาดู แต่ที่ข้าพเจ้าดูไม่ค่อยจะเห็นอะไร เพราะมืดและภาพชำรุดปาก
(น.228) อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ชือฟีหวาง หรือเรื่องพระเจ้ากรุงสีวี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงประชาราษฎร์ วันหนึ่งขณะเสด็จประพาสป่า
ได้ทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวใหญ่กำลังไล่นกพิราบตัวน้อย นกพิราบหนีเข้าซุกซ่อนอยู่บนพระเพลา พระราชาสีวีตรัสขอชีวิตนกพิราบไว้ แต่เหยี่ยวโต้แย้งว่า
“แม้ข้าพเจ้ามิได้บริโภคนกพิราบนี้แล้วชีวิตของข้าพเจ้าก็ต้องจบสิ้นเป็นแน่” พระสีวีราชจึงทรงทำข้อตกลงจะทรงสละพระโลหิต และพระมังสามีน้ำหนักเท่านกพิราบแก่เหยี่ยว
กล่าวกันว่านกพิราบเป็นเทวดามาลองพระทัย หรือมาช่วยให้ได้บำเพ็ญบารมี จึงเพิ่มให้มีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนพระเจ้าสีวีต้องลงไปประทับในตาชั่งทั้งพระองค์
ในภาพชือฟีหวางหรือพระเจ้ากรุงสีวีมีลักษณะเหมือนคนซินเกียง จะเป็นชนเผ่าคูเชอ หรือเววูเอ๋อร์ก็ไม่ทราบ ดูจากการแต่งกายประจำชาติ
เรื่องทั้งสองนี้เป็นเรื่องชาดกแสดงทานปรมัตถบารมี คือการบำเพ็ญบารมีด้วยการให้ที่สูงสุด คือสละได้แม้แต่ชีวิตของตน ที่จริงแล้วบารมียังมีอีกหลายประการ ภาพในถ้ำเขียนแต่เรื่องสละตนเองเพื่อบุคคลอื่น
ข้าพเจ้าสันนิษฐานเอาเองว่าการกระทำเช่นนี้คงจับใจคนจีนในยุคนั้นอยู่มาก เพราะสมัยเป่ยเว่ยบ้านเมืองมีศึกสงครามอยู่มากต้องการผู้นำที่มีความโอบอ้อมอารีและเสียสละ ไพร่พลจึงจะมีศรัทธา มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติการรบที่เสี่ยงภัย
พระพุทธรูปในถ้ำก็เป็นปางมารวิชัยเช่นเดียวกัน
ถ้ำที่ 257 สมัยเว่ยภาคเหนือ (ค.ศ. 386-534) มีนิทานชาดกเช่นเดียวกันเรื่องกวางเก้าสีจิ่วเส้อลู่ เรื่องมีอยู่ว่ามีนายพรานตกน้ำอยู่ในป่า กวางเก้าสีได้ยินคนร้องขอความช่วยเหลือก็ออกมาช่วย
นายพรานผู้นั้นขอบคุณและสัญญาว่าจะพยายามตอบแทนบุญคุณ กวางบอกว่า “ท่านไม่ต้องตอบแทน
(น.229) อะไรข้าพเจ้าดอก เพียงแต่ว่าอย่าไปบอกใครว่าตัวข้าพเจ้าอยู่ที่แห่งใด” เมื่อนายพรานออกไปแล้ว กวางก็อยู่อย่างสงบสุขต่อไป (ในภาพเห็นกวางกำลังนอน)
กล่าวถึงพระราชาองค์หนึ่ง มีพระมเหสีซึ่งบังเอิญทรงพระสุบินถึงกวางเก้าสี ขอพระราชทานให้ส่งคนไปจับกวางนั้นมาเพื่อนำหนังมาเป็นผ้าปูที่นอน แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าจะหากวางเช่นนี้ได้ที่ใด
โปรดให้ประกาศไปให้ทั่วในหมู่ประชาชน นายพรานได้ยินคำประกาศก็เข้ามากราบทูลอาสา นำทางรอนแรมไปในภูเขา (ประทับรถมีเก๋ง) เมื่อทางแคบไม่มีทางให้รถเข้าไปได้ก็ทรงม้าไป
กวางนอนอยู่อย่างสบายไม่ได้นึกระแวงภัย พอดีกวางมีสหายเป็นกา กาเห็นคนมาก็รีบบินมาปลุกให้กวางลุกขึ้น ขณะที่กวางตื่น พระราชาก็มาอยู่ตรงหน้าแล้วจึงทูลถามว่า “ผู้ใดนำเสด็จพระองค์มา ณ ที่นี้ได้”
พระราชารับสั่งว่า “นายพรานผู้นี้เป็นผู้พามา” กวางก็เล่าเรื่องทั้งหมดถวายว่าชายผู้นี้เป็นคนเนรคุณ สุดท้ายพระราชาจึงทรงปล่อยกวางกลับไป นายพรานในเรื่องก็ได้รับกรรม อาจารย์ต้วนบอกว่าเป็นแผลพุพอง (ฝีดาษ)
ผู้คนจึงรังเกียจ แสดงให้เห็นกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา ข้าพเจ้ากำลังคิดว่าจะแสดงข้อธรรมอะไรได้อีกก็ยังนึกไม่ออก ในอินเดียก็มีภาพชาดกเรื่องนี้ อาจารย์ต้วนบอกว่าในอินเดียกวางหมอบอยู่หน้าพระราชา
แต่ช่างในจีนเห็นว่ากวางนี้ก็เป็นกวางโพธิสัตว์ไม่น่าจะต้องคุกเข่า อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์ต้วนอธิบายก็คือคนสงสัยว่าทำไมช่างเขียนหน้าพระราชาใช้สีดำ ที่จริงแล้วส่วนที่เป็นสีดำแต่ก่อนเป็นสีแดงเข้ม แต่เป็นสารตะกั่วพอถูกออกซิเจนก็จะเปลี่ยนสี
ถ้ำที่ 275 เป็นถ้ำที่เก่าแก่ที่สุด เจ้าหน้าที่กำลังลอกรูปด้วยการดูแบบวัดขนาด และวาดในกระดาษ ถ้ำนี้สร้างสมัยเป่ยเหลียง (เป็นเผ่าฉยุงหนูในกานซู เป็น 1 ใน 16 แคว้น) มีอำนาจประมาณ ค.ศ. 401-439 รูป
(น.230) รูป 144. ตุนหวง
Dunhuang.
(น.230) พระอริยเมตไตรย (จีนเรียกมี่เล่อ) พระในถ้ำนี้มีลักษณะไขว้พระชงฆ์อย่างหลวมๆ ทั้งนั้น
ภาพฝาผนังวาดอย่างหยาบๆ เรื่องพระเจ้าแผ่นดินตัดขา ตัดเศียรให้พราหมณ์ (เป็นเรื่องสละตนเองอีกแล้ว)
ถ้ำที่ 285 เป็นถ้ำสมัยซีเว่ย (เว่ยตะวันตก) มีอำนาจอยู่ราว ค.ศ. 535-557 มีจารึกบอกปีเดือนที่วาด อาจารย์ต้วนอธิบายว่าถือว่าเป็น
(น.231) ทรัพย์สมบัติสำคัญของประเทศได้รักษาไว้เป็นอย่างดี ใน ค.ศ. 1925 เกือบจะถูกชาวอเมริกันขโมยไปแล้ว ติดกระดาษ นำกาวมาเตรียมจะลอก ประชาชนช่วยกันขับไล่ จึงเอาอะไรไปไม่ได้
เพดานเป็นเรื่องนิยายพื้นบ้านจีนโบราณ เรื่องมนุษย์คู่แรกของโลกคือฟูซีซื่อและหนู่วา เป็นมนุษย์เริ่มแรกของจีน ภาพพระจันทร์ พระอาทิตย์ ตามคติของจีน อาจารย์ต้วนว่ามีรูปเทพเจ้าอพอลโลของกรีกนั่งรถม้า มีม้า 4 ตัวลาก หน้าตาเป็นแบบจีน
เทวดาลม เทวดาฟ้าผ่าของจีน นางฟ้าขี่กิเลนในศาสนาเต๋า ข้าพเจ้าก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ขอกล่าวโดยสรุปย่อๆ ในตอนนี้ว่าห้องนี้มิได้แสดงเฉพาะความเชื่อในพุทธศาสนา แต่จะมีความเชื่อในลัทธิเต๋าและความเชื่อผีสางเทวดาแบบโบราณ เช่นรูปคนหัวเป็นมังกรอยู่ใต้เขาคุนลุ้น
ออกจากถ้ำนี้อาจารย์ต้วนชี้ให้ดูซันเหว่ยซานคือภูเขาสามยอด อยู่ทางทิศตะวันออก มีประวัติว่ามีแสงทองอยู่หลังเขา เห็นว่าเป็นสถานที่ศิริมงคลจึงมาเจาะถ้ำ แต่ก็ไม่มีภาพเขียนอะไร มีแต่วัด
ข้าพเจ้าถามอาจารย์ต้วนถึงงานด้านอนุรักษ์ว่าทำไปในด้านใด อาจารย์ต้วนว่ามีหลายขั้นตอน
1. ค้นคว้าว่าสีทำด้วยอะไร
2. หาสาเหตุของการเปลี่ยนสี
3. หาวิธีการรักษา
4. ร่วมมือทางวิชาการกับอเมริกาและจีน
จริงๆ เกินเวลามาตั้งนานแล้ว แต่ต้องพูดว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว” เราดูต่อให้ครบตามที่ตั้งใจไว้ดีกว่า ก็น้อยเต็มทีแล้ว เลยบอกอาจารย์ต้วน
(น.232) ว่าดูเสียอีกถ้ำก็แล้วกัน เราเลยเข้าไปที่ถ้ำที่ 017 ถ้ำนี้เป็นที่เก็บคัมภีร์และเอกสารต่างๆ เป็นที่เร้นลับไม่มีใครทราบ พระลัทธิเต๋ารูปหนึ่งชื่อหวางเต้าซือ
มาบำเพ็ญพรตอยู่ที่นี้ วันหนึ่ง (ปรามาณ ค.ศ. 1900) ทรายก็ร่วงลงมา หวางเต้าซือจึงเรียกพวกลูกน้องให้มาช่วยกันขุดทรายออกไป
ก็ได้พบประตูเปิดเข้าไปเป็นห้องเต็มไปด้วยคัมภีร์และเอกสาร ผ้าไหมและภาพวาดอยู่เต็มถ้ำ เอาผ้ามัดไว้ เป็นของสมัยราชวงศ์ถัง พวกภาพวาดมี 800 กว่าชิ้น
มีคัมภีร์และเอกสารประมาณ 4-5 หมื่นเล่ม ได้ความว่าฝรั่งเช่นเซอร์ออเรล สไตน์มาซื้อไปถูกๆ ก็ตั้งแยะ ที่ยังคงเหลือที่จีนเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติปักกิ่งประมาณ 10,000 กว่าเล่ม
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี วรรณคดี ศิลปะ คณิตศาสตร์ การแพทย์ เศรษฐกิจ ฯลฯ
ข้างในห้องมีรูปปั้นพระหงเปี้ยน อยู่ในสมัยปลายราชวงศ์ถัง รับหน้าที่เป็นพระที่ควบคุมฉนวนเหอซี เมื่อมรณภาพแล้วลูกศิษย์จึงสร้างรูปปั้นนี้ขึ้น จารึกประวัติที่ฝาผนังมีรูปต้นโพธิ์ 2 ต้น
มีกระเป๋าคัมภีร์แขวนไว้ (กระเป๋าคัมภีร์ดูยังกับกระเป๋าถือสมัยใหม่) มีลูกศิษย์ถือผ้ามือหนึ่ง อีกมือถือไม้เท้า แม่ชีถือพัดบังแดดบังลม ภาพสมัยถังตอนปลายใช้วิธีเขียนเส้นง่ายๆ มีชีวิตชีวา
ด้านนอกห้องมีภาพเขียนสมัยซีเซี่ย ตรงเครื่องประดับทำลวดลายเป็นเส้นนูนขึ้นมา ถ้าหวางเต้าซือไม่เห็นทรายร่วงก็คงไม่มีใครทราบว่ามีห้องเก็บคัมภีร์ เพราะเขาเก็บได้แนบเนียน เอาปูนโบกประตูและเขียนภาพทับ
ก่อนกลับอาจารย์ต้วนให้หนังสือภาพตุนหวง 2 เล่ม ถ่ายภาพชัดกว่าที่เห็นในถ้ำ รวมบทความในการสัมมนาและบทความต่างๆ หนังสือเหล่านี้เขียนเป็นภาษาจีนที่ค่อนข้างจะยากสำหรับข้าพเจ้าจึงยังไม่ได้ค้นดู ถ้าจะ
Next >>