Please wait...

<< Back

" ย่ำแดนมังกร วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2524 "


(น.187) รูป 93 บ้านที่เขาสร้างขึ้นมาแสดงว่าในสมัยก่อนคนป้านโพอยู่กันอย่างนี้

(น.187) ส่วนสังคมแม่นั้นถึงลูกหลานแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ยังคงอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้าน ที่เก็บของมักอยู่ในบ้าน อีกอย่างหนึ่งเขาบอกว่าสังคมพ่อมักใช้เครื่องมือทำด้วยทองเหลือง ส่วนสังคมแม่จะใช้หินและกระดูกสัตว์เป็นส่วนมาก หลังจากดูของที่แสดงไว้ในห้องพิพิธภัณฑ์แล้ว เขาพาไปห้องที่เป็นบริเวณหมู่บ้านจริงๆ เขาขุดแต่งเสร็จแล้ว ทำหลังคาครอบไว้มีพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร (เป็นส่วนเดียวของพื้นที่หมู่บ้าน) ส่วนนี้เป็นส่วนที่อยู่อาศัย เขาชี้ออกไปนอกหน้าต่างบอกว่าบริเวณข้างนอก “ห้องนี้” ก็เป็นเขตหมู่บ้าน แต่ไม่ได้ทำพิพิธภัณฑ์


(น.188) รูป 94 กำลังดูของที่ระลึกที่เขาทำให้ที่พิพิธภัณฑ์ป้านโพ

(น.188) เท่าที่มีก็พอเพียงแล้ว (พื้นที่นอกนั้นเขาใช้ปลูกข้าวสาลีมาจนถึงมุมตึก) ในห้องนั้นเป็นที่ขุดลงไปเป็นคอก มีรั้วกั้นไว้ เขาบอกว่าส่วนที่ตื้นที่สุดลึกลงไปประมาณครึ่งเมตร ส่วนที่ลึกที่สุดนั้นประมาณ 3 เมตร บ้านมีสองประเภทคือประเภทที่อยู่ใต้ดินครึ่งหนึ่ง เป็นบ้านรุ่นโบราณ และบ้านอีกประเภทหนึ่ง อยู่เหนือดินทำด้วยไม้ เป็นบ้านที่สร้างในสมัยหลัง รูปร่างของบ้านมีทั้งที่เป็นรูปกลมและรูปสี่เหลี่ยม ประตูบ้านจะหันทางทิศใต้เสมอ จะได้แสงอาทิตย์ตลอดไม่หนาว บ้านจีนทั่วไปจะทำแบบนี้ กลางบ้านแต่ละหลังจะมีหลุมไฟยังเห็นได้จนทุกวันนี้ วัสดุก่อสร้างที่ใช้คือดินเหนียว ฟาง และไม้ ข้างๆบ้านแต่ละหลังจะต้องมีหลุมสำหรับใส่ข้าวของเสบียงอาหารต่างๆ

(น.189) คูป้องกันหมู่บ้านกว้างประมาณ 5 – 6 เมตร ด้านตะวันออกของบริเวณบ้านจะเป็นเตาเผาเครื่องปั้นดินเผา “ป่าช้าอยู่ตรงไหน” ข้าพเจ้าถามขึ้น เล่นเอาแอ๋วหัวเราะเพราะเวลาไปดูหมู่บ้านโบราณหรือเมืองโบราณทีไร ข้าพเจ้าต้องถามถีงป่าช้าทุกที แถมบางครั้วเผลอเรียกว่า slow forest ตามสำนวนไทย เล่นเอาฝรั่งงงเป็นไก่ตาแตก ที่ป้านโพนี้ข้าพเจ้ามีคำซักถามมากมายเกี่ยวกับป่าช้า สำหรับสังคมมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์นี้เรื่องประเพณีเกี่ยวเนื่องกับผู้ตายเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะว่าจะเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นได้เกี่ยวกับลัทธิความเชื่อที่จะมีวิวัฒนาการไปเป็นเรื่องศาสนา วันนี้ปรากฏว่าภุชชงค์เป็นอีกคนหนึ่งที่ซักถามเรื่องป่าช้า บริเวณป่าช้าอยู่นอกเขตที่เขาจัดแสดงให้ดู ทางเหนือของหมู่บ้าน แต่เขาก็เอาโครงกระดูกใส่ตู้วางไว้ในลักษณะเดิมให้เราดูด้วย ที่ฝังศพเด็ก (ใส่ในตุ่ม) ยังพอเอาไว้ในบริเวณบ้านได้ แต่ส่วนศพผู้ใหญ่นั้นจะต้องเอาไป slow forest หรือป่าช้าแน่ๆ เขาไม่ได้อธิบายเหตุผล อาจเป็นเพราะผีผู้ใหญ่นั้นดุกว่าผีเด็ก ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ผิดกับธรรมเนียมไทย ของไทยเรานั้น ผีเด็กเช่นผีหัวจุกก็มีสิทธิที่จะดุ ทำเอาคนเป็นไข้หัวโกร๋นไปหลายรายแล้ว ภุชชงค์บอกว่าว่าธรรมเนียมเอาศพเด็กใส่ตุ่มนั้น ที่ ไต้หวัน และที่ ฮกเกี้ยน ก็มี ที่นี่ตุ่มที่ใส่ศพเขาต้องเจาะรูไว้ด้วย วิญญาณเด็กจึงจะขึ้นสวรรค์ได้ เด็กจะไม่มีของที่ฝังกับศพ

(น.190) การฝังมีทั้งฝังเดี่ยวและฝังคู่หรือฝังหมู่ ที่ฝังเดี่ยวนั้น แต่ละคนมีภาชนะและเครื่องมือเครื่องใช้ของตนเองวางอยู่ข้างๆ สำหรับภาชนะดินเผานี้เขาขุดพบในเขตป่าช้ามากกว่าเขตบ้าน ภาชนะเหล่านี้เป็นของใช้ประจำวันของผู้ตาย ไม่ใช่ทำขึ้นสำหรับใส่กับศพโดยเฉพาะ ศพเพศเดียวกันบางทีฝังอยู่ด้วยกัน บางคนฝังนอนหงาย ขายืดเป็นปกติ บางคนนอนคว่ำ (อาจเป็นพวกศพตายผิดปกติ) บางคนก็ฝังด้วยท่าทางประหลาดๆ จากศพที่ขุดพบ ทำให้เห็นว่าผู้ชายมีความสูงประมาณ 1.7 เมตร ผู้หญิงสงประมาณ 1.59 เมตร มัวแต่คุยเรื่องป่าช้าอย่างเพลิดเพลิน เพิ่งได้สังเกตเห็นว่าเวลามันล่วงเลยไปเกินที่เขากำหนดให้แล้ว เราดูบ้านที่เขาสร้างตามของเดิมก่อนจะลาผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ เขามีของที่ระลึกให้เป็นหม้อเขียนลายป้านโพ ซึ่งพวกพิพิธภัณฑ์เขาระบายกันเอง กับเข็มขัดกลัดรูปปลาอ้าปากเครื่องหมายของพิพิธภัณฑ์ให้ติดกันทุกคน ขากลับข้าพเจ้ากับคุณซุนหมิงคุยกันเรื่องยาสมุนไพร คุณซุนหมิงเล่าว่า ยาสมุนไพรชื่อ เทียนหมา รักษาโรคเส้นโลหิตในสมองตีบ ที่มณฑล กานซู มี ตังกุย บำรุงเลือด ที่ หนิงเซี่ย มี โก๋วฉี่ รักษาไต ที่ เซี่ยงไฮ้ มีเขากวางเป็นยาบำรุงกำลัง ในเขต ซินเกียง มีต้นสมุนไพรชนิดหนึ่ง เรียกว่า ส่วยเหลียน มีดอกเหมือนดอกบัวขึ้นอยู่บนเขา ต้นสมุนไพรชนิดนี้ร้อนมาก ถึงเวลาหิมะตก หิมะรอบๆ ต้นยังละลาย ยาสมุนไพรชนิดนี้เป็นยาบำรุงเลือด แต่ละเขตก็มียาสนุนไพรของตนเอง ยาที่มีค่าของแถบตะวันตกเฉียงเหนือก็มีหลายชนิด เช่น รากของดอก หมู่ตัน (โบตั๋น)

(น.191) เป็นยาบำรุง อีกชนิดหนึ่ง หวงเหลียน เป็นยาขมมาก แก้โรค กระเพาะ ร้อนใน หรือท้องร่วงยาแก้โรคมะเร็งก็มี แต่เขาประสมด้วยอะไรก็ไม่รู้ ได้ยินว่ามีที่ เซี่ยงไฮ้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้สำเร็จเดี๋ยวนี้ใครเป็นมะเร็งเขาก็ผ่าตัด ฉายแสง และกินยาด้วย ข้าพเจ้าเล่าให้คุณซุนหมิงว่าในเมืองไทยเราก็มีสมุนไพรที่มาจากพืชชนิดต่างๆ อยู่บ้างเหมือนกัน ยาไทยหลายชนิดที่มีผู้นิยมรักษาโรคได้ดีไม่แพ้ยาของต่างประเทศ แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกันว่าส่วนใหญ่จะต้องรับประทานมากเป็นหม้อๆ ถึงจะหาย ถ้าสามารถใช้ยาของเราเองไม่ต้องสั่งจากนอกก็ทุ่นไปมากแล้วข้าพเจ้าลองเอายาหอมที่ติดกระเป๋าส่งให้คุณซุนหมิงชิมดู ข้าพเจ้าเคยเอายาหอมให้ฝรั่งชิม ฝรั่งไม่ยักชอบ บอกว่ารสชาติแย่ ใสฝิ่นหรือกัญชาหรือเปล่า บางคนทำหน้าสยอง สั่นหัวเดียะ ไม่ยอมชิม คุณซุนหมิงรับยาหอมไปชิมอย่างสบายใจ แถมวิจารณ์ส่วนผสมของยาหอมด้วย ยาจีนอีกสองอย่างที่คุณซุนหมิงบอกมี โปเหอ ซึ่งเขาทำเป็นทอฟฟี่อมแล้วชุ่มคอ และยา หลิ่วเสินหวาน (อันนี้ไม่แน่ใจว่าจดมาถูก) เป็นเม็ดเล็กๆ ดำๆ แก้เจ็บคอ ข้าพเจ้าคิดว่าต้องเป็นอะไรสักอย่างที่เมืองไทยก็มีขาย นอกจากเรื่องยาแล้ว เรายังคุยกันอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องภาษาจีน ข้าพเจ้าพยายามเขียนคำต่างๆ อีกหลายคำ คุณซุนหมิงบอกว่า ในซีอานมีภาษาพูด 3 ภาษา แต่คนส่วนมากแม้แต่ในครอบครัวก็พูดภาษากลางกันหมดแล้ว

(น.192) กลับมาถึงบ้านพักช้ากว่ากำหนดมาก คือว่าเข้าไปตั้งทุ่มเกือบครึ่ง กำหนดเดิมจะมีงานเลี้ยงรับรองทุ่มตรง เราก็ต้องขอโทษขอโพยคนจีนเขาว่าทำให้ช้า เขาบอกว่าไม่เป็นอะไร มีสิ่งที่น่าสนใจมากช่วยไม่ได้จริงๆ เขาเลื่อนงานให้เป็นทุ่มสี่สิบห้า ข้าพเจ้าบอกพวก แอ๋ว อารยา ทิพย์ ตุ๋ย ว่าไม่ต้องเปลี่ยนเป็นชุดไทยก็ได้ลำบากเปล่าๆ มีข้าพเจ้า ท่านผู้หญิงทั้งสอง เปลี่ยนกันคนก็พอ ถึงเวลาทุ่มสี่สิบห้ารถก็มารับ เราไปที่ซึ่งเขาจัดเลี้ยงอาหารเราเป็นอาคารอยู่ในบริเวณนั้นเอง เจ้าภาพคือผู้ว่าการมณฑลส่านซี อาหารมีหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ออร์เดิฟทำเป็นรูปนกยูงและผีเสื้อ หูฉลามแห้ง ไก่อบ กุ้งชบแป้งทอด เห็ดหูหนูกับโก๋วฉี่ซึ่วเป็นยาบำรุง ขนมของเมืองส่านซี โดยเฉพาะเรียกว่าขนม พันชั้น ที่สำคัญคือเหล้าข้าวหมากของมณฑลส่านซีนั้น เป็นของพื้นเมืองโดยเฉพาะ มีแอลกอฮอร์เพียง 3 เปอร์เซ็นต์ กลิ่นเหมือนข้าวบูดใครๆ เขาชอบกันมาก แต่ข้าพเจ้าไม่ยักชอบ แต่เวลาดื่มก็ต้องใช้เหล้าอันนี้ ทางมณฑลเขาจะได้ดีใจ ที่นี้ยิ่งปราศรัยกันเร็วมาก รับประทานออร์เดิฟไปได้ไม่กี่คำท่านผู้ว่าราชการมณฑลก็ลุกขึ้นปราศรัยต้อนรับเรา ดื่มชนแก้วไปรอบๆ ตามธรรมเนียมจีน ฝ่ายเราก็ปราศรัยตอบ อาจารย์


(น.193) รูป 95 ที่ซีอาน นั่งกับผู้ว่าราชการมณฑล อีกคนหนึ่งคือท่านทูตโกศล ในภาพจะเห็นออร์เดิฟจัดเป็นรูปนกยูง (เห็นหัวโผล่ขึ้นมา) เหล้าที่ตั้งมีเหมาไถ ไวน์ และเหล้าประจำถิ่นสีขาว

(น.193) สารสินได้จัดการเติมชื่อคนที่จะต้องอวยพรให้เรียบร้อยแล้ว วันนี้การปราศรัยเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนสุดท้ายมีการพูดประโยคภาษาจีนด้วยว่า จูไท่จงโหย่วอี้ว่านกู่ฉางชิง หมายความว่าขอให้มิตรภาพระหว่างไทยกับจีนจงสถิตสถาพร เสร็จแล้วมีการเดินไปรอบๆ โต๊ะชนแก้วตอบ ความจริงนับว่าเคราะห์ดีที่ใช้เหล้าข้าวหมาก นี่ยังไม่รับประทานอะไรอื่นไปสักกี่คำก็ต้องดื่มเหล้าแล้ว ถ้าเป็นเหล้าแรงๆ คงจะเมากันไปข้างหนึ่งแน่ ในโต๊ะอาหารเราก็คุยกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องการตั้วผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการมณฑล ว่าเป็นการเลือกตั้วของประชาชนที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอว่าเอาใครดี แล้วให้ราษฎรตัวแทนในสมัชชาโหวตด้วย ถ้าไม่เป็นที่พอใจของรัฐบาลหรือประชาชนฝ่ายใดฝ่าย

(น.194) หนึ่ง ก็ต้องเลือกใหม่เป็นครั้งหนึ่งมีกำหนดประมาณ 3 ปี ถ้าประชาชนอยากให้เป็นต่อก็ดป็นได้ ข้าพเจ้าบอกกับท่านผู้สว่าราชการมณฑลว่า ท่านผู้หญิงมณีรัตน์สนใจเกี่ยวกับการทอผ้าและการปักผ้าของจีน ผู้ว่าราชการมณฑลกล่าวว่า ที่เมืองซีอานนี้ก็มีการทอผ้าด้วยเครื่องจักรในโรงงานอยู่หลายแห่ง จะจัดให้ไปดูที่ไม่ไกลนัก ท่านผู้หญิงดีใจมากจัดการพาพรรคพวก ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องการทอผ้าแล้ว ท่านผู้หญิงสนใจมากเพราะทำงานด้านนี้มานานแล้ว แต่เป็นเรื่องของผ้าทอมากกว่าพวกผ้าฝ้ายที่ท่านผู้หญิงหาครูไปสอนชาวบ้านและตั้งกลุ่มเอาไว้ ก็สามารถใช้ทำเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ ได้อย่างสวยงาม ส่วนการปักนั้น ท่านผู้หญิงให้ตุ๋ย กับคนอื่นๆ คิดลายให้ชาวบ้านปักทำหมอนและอื่นๆ ซึ่งเป็นการช่วยคนจำนวนมากให้มีรายได้เพิ่มเติมโดยไม่ต้องเรียนนานนัก หลังจากนั้นก็พูดกันถึงสัตว์ต่างๆ ท่านผู้ว่าราชการมณฑลถามข้าพเจ้าเรื่องช้างในเมืองไทยว่าทำอะไรได้บ้าง ในจีนมีนิยายปรัมปราว่าจีนใช้ช้างไถนาได้ ตอนนี้จีนก็ไม่มีช้างแล้ว เวลาจะแกะสลักงาช้างก็ต้องซื้องาช้างจากต่างประเทศ ข้าพเจ้าเล่าว่า เมืองไทยมีช้างมากจริงๆ แต่เราไม่ใช้ช้างไถนา มีแต่ใช้ลากซุง อุตสาหกรรมป่าไม้ของเราต้องใช้ช้างเป็นแรงงาน นอกจากนั้นยังใช้ขนของหนักๆ บุกป่าขึ้นเขาได้ด้วย บางทีเขาใช้ช้างเล่นละครก็ได้ ให้เล่นกีฬากับคน เช่น เล่นฟุตบอล (ช้างชอบขี้โกงไม่เคารพกฎ) ในสมัยโบราณเราใช้ช้างเป็นพาหนะในการทำศึก ในวังมีช้างสำคัญหลายเชือก ข้าพเจ้าชอบช้างมาก เคยเล่นกับช้างเมื่อตอนเด็กๆ ช้างเป็นสัตว์ฉลาด

(น.195) พูดกันรู้เรื่อง น่ารักมาก แต่ก่อนนี้พอบ่ายๆ ข้าพเจ้าต้องจูงมือ (มือข้าพเจ้าแต่งวงช้าง) ช้างเดินเล่นทุกวัน ทุกคนชอบช้าง ยกเว้นคนที่ดูแลสวน เขาบอกว่าช้างเป็นศัตรูพืชตัวใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาชอบดึงต้นไม้ของเขาเสียหาย ท่านผู้ว่าฯ บอกว่านึกขึ้นมาได้ว่าที่สืบสองปันนามีช้าง บนภูเขามีเสือ งูตัวโตๆ คนทางเหนือไม่กินงู ทางใต้แถวๆ กวางตุ้งกิน ท่านผู้ว่าฯ บ่นว่าทางเหนือกับทางใต้ของจีนมีอะไรต่างกันแยะเวลาท่านผู้ว่าฯ ไปกวางตุ้งยังต้องติดเอาล่ามไปด้วย บนภูเขาของมณฑลส่านซีนั้นมีสัตว์แปลกๆ มาก เช่น ลิงสีทองหน้าสีฟ้า และหมีแพนด้า หมีแพนด้าของส่านซีต่างจากมีแพนด้าของเสฉวน ข้าพเจ้าบอกว่าลิงสีทองกับหมีแพนด้านั้นข้าพเจ้าเคยเห็นแต่ในหนังสือ ท่านผู้ว่าฯ บอกว่า ถ้าอยากจะดูก็ต้องไปสวนสัตว์ พรุ่งนี้มีเวลาจัดให้ดูได้ ข้าะเจ้าหันไปถามมณีรัตน์ชัดจะต่อรองว่าถ้าดูการทอผ้าเสร็จแล้วก็อยากไปสมทบดูลิงที่สวนสัตว์ ข้าพเจ้าลืมกล่าวถึงอาหารอีกอย่างหนึ่ง เป็นข้าวต้มทำจากข้าวเจ้าสีดำ ซึ่งมีอยู่ที่หมู่บ้านเดียวในมณฑล ดูเหมือนจะต้องใช้น้ำในลำธารสายนั้นรดจึงขึ้น ทางจีนกำลังวิจัยข้าวพันธุ์นี้อยู่ เขาว่ากันว่าข้าวพันธุ์นี้มีค่ามาก รักษาโรคมะเร็ง รับประทานได้ทั้งเป็นของหวาน และของคาว ระหว่างรับประทานอาหารมีการแสดงร้องเพลง เพลงแรกผู้ร้องเป็นนักร้องมีชื่อของซีอานเคยมาเมืองไทยในปี 1979

(น.196) เพลงชื่อ หลาน ฮวา ฮวา (lan hua hua) คนร้องชื่อ หวินเอินฟ่ง (Yun Enfong) เพลงที่สองเป็นเพลงพระราชนิพนธ์สายฝน เขาเปิดเทปดนตรีและร้องตามเทป ร้องภาษาไทยได้ชัดเจนมาก เพลงที่สามชื่อเพลงมิตรภาพระหว่างไทยและจีนเป็นภาษาจีน เป็นภาษาจีน เป็นการร้องประสานเสียง นักร้องทำงานอยู่กรมรถไฟจีน เพลงที่สี่เขาบอกว่าเรียนจากเมืองไทย มีเนื้อร้องว่า “เดี๋ยวเดียว เจอกันประเดี๋ยวเดียวสนิทสนมกลมเกลียว เดี๋ยวเดียวก็รักกันได้ แปลกใจเรารักกันได้อย่างไร เรารักกันได้เพราะมิตรภาพไทยจีน” อีกเพลงหนึ่งเขาบอกว่าเป็นเพลงไทย แต่ฟังเท่าไรก็ฟังไม่ออกพวกเราก็เถียงกันใหญ่ว่าเพลงชาติอะไร บางคนบอกว่าเป็นเพลงพม่า บางคนบอกว่าเป็นเพลงมาเลย์ รายการหลังจากการร้องเพลงเป็นการแสดงเดี่ยวขลุ่ย ผู้แสดงชื่อ เกาหมิง เพลงแรกเป็นเพลง “นกร้อยตัวเข้าเฝ้าหงส์” ผู้แต่งเพลงชื่อ หลิวกงเย่ ฟังเสียงแปลกไพเราะดี เขาสามารถใช้ขลุ่ยเป่า เสียงเหมือนนกหลายๆ ชนิดร้องขานรับกัน หงส์นั้นทางจีนถือว่าเป็นนกทิพย์ เป็นสัญลักษณ์ของพระราชินี และตอนไปฮ่องกงคุณออมก็ซื้อผ้าแพรปักภาพนี้ เพลงนี้ฟังเสียงมีชีวิตชีวามาก ข้าพเจ้าให้คุณเกาหมิงลองเป่าเสียงนกโพระดกให้มันร้องโฮกป๊กๆ ก็ไม่ดังโฮกป๊กสักที ถ้าทำได้จะดีมาก จะได้ให้เขาทำเพลงในตับนก ซึ่งมีเสียงนกโพระดก นกกางเขน และไก่ เราพยายามหาคนทำเสียงให้เหมือนอยู่นานแล้ว

(น.197) โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่ยังไม่ได้เป็นที่พอใจเลย ข้าพเจ้าเลยขอให้เขาอัดเทปให้ เพลงขลุ่ยเพลงที่สองเป็นเพลงนกพิราบสันติภาพ การเป่าสองเพลงนี้ใช้ขลุ่ยคนละอย่าง เพลงแรกใช้ขลุ่ย ป่านตี๋ เพลงที่สองใช้ขลุ่ย ฉิวตี๋ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ชวนไปซื้อของที่ร้านในบริเวณ บอกว่าที่นี่เขามีร้าน “ตึก 7” ซึ่งมีลักษณะเหมือน “ตึก 3” ของบ้านเตี้ยวหยูว์ไถ ข้าพเจ้าดูนาฬิกาแล้วก็ตกใจว่านี่ตั้ง 4 ทุ่มแล้ว ร้านเขาปิดแล้วกระมัง จะให้เขาเปิดก็เกรงใจคนจีนเขา ท่านผู้หญิงกับคนจีน แล้วบอกว่านัดแนะกันไว้เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายจีนเดี๋ยวนี้พอพูดถึงการซื้อของก็ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะออกจากห้องเลี้ยงอาหาร ผู้ว่าราชการมณฑลมอบของที่ระลึกให้ข้าพเจ้า เป็นตุ๊กตาดินเผาเคลือบสีเหลืองๆ รูปม้ากับหุ่นจำลองตัวตัวหุ่นของสุสานของ ฉินสื่อหวังตี้ ทำได้สวยมาก ตกดึกนี่อากาศค่อนข้างเย็น ถึงไม่หนาวนัก คุณฟ่านจัดการเอาเสื้อซึ่วเป็นทั้งเสื้อฝนและเสื้อหนาวของข้าพเจ้ามาใส่ให้ ร้านตึก 7 นี้ เล็กกว่าร้านตึก 3 หน่อยหนึ่ง มีของมากเหมือนกัน ข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี ถ้าเขาเปิดร้านเป็นพิเศษแล้วเดินไปเดินมาไม่ฝวื้ออะไรเลยก็ค่อนข้างจะน่าเกลียด (ความจริงก็ไม่ต้องกลัวเท่าไร เพราะเห็นใครต่อใครมุงที่โต๊ะขายของกันออกจนเราแทบหาช่องเข้าไม่ได้)

(น.198) ของขายมีหลายอย่าง ตอนแรกข้าพเจ้าดูตุ๊กตา 12 นักษัตรเห็นราคาแพงมากเลยไม่ได้ซื้อ ตุ๊กตาม้า และตุ๊กตาทหารก็มี รวมทั้งของเล่นประเภทลิงตีฉาบตกลงข้าพเจ้าซื้อ postcard รูปม้าสำหรับฝากน้องเล็ก และ rubbing จารึกจีนสมัยราชวงศ์ ถัง ว่าจะเอาไปปะไว้ที่ภาควิชาภาษาตะวันออกที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเคยเรียนวิชาทำ rubbing ไว้ ที่ปะเอาไว้ที่คณะโบราณคดีมีแต่จารึกเขมร จารึกมอญ ยังไม่มีจารึกจีน ข้าพเจ้าซื้อไป 2 แผ่น จะซื้ออีกพอดีพวกเจ้าหน้าที่จีนจำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร บอกว่าสำหรับจารึกอย่าซื้อที่นี่เลย พรุ่งนี้เราจะไปพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นที่เก็บจารึกทั้งหมด เขามี rubbing จารึกขายด้วย ซื้อที่พิพิธภัณฑ์มีมากว่า ที่เห็น rubbing แล้วต้องซื้อเพราะนึกถึงสมัยฝึกงานภาคสนามที่พิพิธภัณฑ์ลำพูน ก่อนกลับข้าพเจ้าหันไปขอบใจและกล่าวสวัสดีเจ้าหน้าที่ตึก 7 ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ดูก็ยิ้มแย้มแจ่มใสสวัสดีตอบอย่างดีทุกคน จงไท่ โหย่วอี้ หรือมิตรภาพไทยจีน วันนี้รู้สึกว่าทารุณกรรมกับฝ่ายจีนมากทีเดียว เขานัดรับประทานอาหารเช้าที่เดิม และเวลาเดิม ก่อนนอนข้าพเจ้าเปิดม่านเอาไว้ ตอนเช้าจะได้ได้ตื่นตามนาฬิกาปลุกธรรมชาติ


(น.199) รูป 96 ซีอานเหมือนกัน กลับจากงานเลี้ยงรับรอง คุณฟ่านจะต้องเป็นคนเปิดประตูให้