Please wait...

<< Back

" ย่ำแดนมังกร วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2524 "

(น.293)คุณหมอดนัย คราวที่แล้วรู้สึกเสียเปรียบข้าพเจ้า เพราะไปออกหน่วยแพทย์เสียอีกทางหนึ่ง ผู้ที่ไม่ยอมรับประทานอีกคนคือ ป้าจัน เพราะไปเห็นหมาดำกระดุกกระดิกอยู่เรื่อยๆ ท่านผู้ว่าฯ อธิบายว่า สุนัขที่ใช้ต้องมีอายุ 5-6 เดือน เป็นหมาดำถึงจะดี สิ่งที่รับประทานกับหมาดำเป็นซุปซึ่งเขียนไว้ในเมนูว่า “ซุปไก่ตุ๋นในหม้อ” ต้องอธิบายนิดหน่อยว่าหม้ออันนี้เป็นหม้อพิเศษซึ่งใช้ทำไก่อัด (ทั้งตัว) ใครๆ เช่น ป้าไล ตุ๋ย ต่างซื้อกันใหญ่ ท่านผู้ว่าฯ กระซิบว่านี่ไม่ใช่ไก่ แต่เป็นตุ๊กแก ข้าพเจ้าเป็นคนสำคัญก็ได้กินมากหน่อย คนอื่นๆ ได้กินแต่น้ำซุปหรือเนื้อไก่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่ตุ๊กแกจริงๆ ว่าแล้วก็หันไปสั่งลูกน้องให้เลือกเฉพาะตรงที่เป็นตุ๊กแกมาให้ข้าพเจ้าถึงสองถ้วย เนื้อตุ๊กแกในซุปนี้ไม่ค่อยน่าเกลียดเขาลอกหนังออกหมดแล้ว หั่นเป็นท่อนๆ ท่อนที่มีขาติดก็ตัดขาออก ท่านผู้ว่าฯ อธิบายวิธีรับประทานว่า กระดูกตุ๊กแกก็รับประทานได้ แต่ขอให้เคี้ยวละเอียดๆ ให้รับประทานมากๆ เพราะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยระบบประสาท และแก้หืด กล่าวพลางสั่งลูกน้องว่าอะไรอีกไม่ทราบ ลูกน้องคนนั้นหายไปและกลับมาพร้อมกับตุ๊กแก (เป็นๆ) ตัวหนึ่งผูกติดไม้มาส่งให้ข้าพเจ้า ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าก็ไม่เคยจับตุ๊กแก รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามันน่าเกลียดน่ากลัว ในกระบวนสัตว์ต่างๆ ให้น่าเกลียดแสนน่าเกลียด เช่น ไส้เดือนกิ้งกือ หนอน แม้แต่บุ้งก็เคยจับ กลัวอยู่ 2 อย่างคือ ตุ๊กแก กับคางคก วันนี้เลยลองจับตุ๊กแก เขาเตือนว่า อย่าจับตุ๊กแกที่ปาก เพราะมันดุมาก อาจจะกัดเอาได้ ให้จับที่ตัว ตุ๊กแกที่เขาเอามาให้ดูนั้นตัวไม่โตนัก ยาวประมาณคืบหนึ่ง เป็นสีเทา

(น.294) หนังเรียบกว่าตุ๊กแกบ้านเรา ตาสีเหลือง เมื่อข้าพเจ้าดูเสร็จแล้วเขาเอาโชว์ตามโต๊ะต่างๆ ภุชชงค์ถึงกับเอาแว่นขยายขึ้นมาส่อง ได้ความว่ากสิณให้ตุ๊กแกอ้าหาก และตรวจดูคอ แอ๋วจัดการขอตุ๊กแกมาให้กสิณเลี้ยง ซึ่งกสิณได้แก้มัดแล้วเอาไปปล่อยไว้ที่ก้อนหิน ตกลงกสิณเป็นคนเดียวที่ได้ทำบุญในวันวิสาขบูชาโดยการปล่อยตุ๊กแกแทนการปล่อยนกปล่อยปลาแบบธรรมดาๆ ตุ๊กแกนี้เป็นของแพงราคาตั้งแต่ 5-6 หยวน เล่นเอาข้าพเจ้าอยากขายตุ๊กแกส่งออกนอก เมื่อข้าพเจ้าเด็กๆ ได้มีโอกาสไปเมืองอังกฤษเห็นตุ๊กแกขายในร้านสัตว์ราคาแพงถึงตัวละ 2 ปอนด์ เล่นเอาอยากขายตุ๊กแกอยู่พักหนึ่ง ได้ทราบว่าทางอีสานของไทยมีคนจับตุ๊กแกส่งขายนอกประเทศเหมือนกัน รสชาติตุ๊กแกนี่ดีมาก คล้ายๆ ไก่แต่เนื้อละเอียดกว่าไม่ทราบว่าตุ๊กแกของข้าพเจ้าที่เมืองไทยจะอร่อยหรือเปล่า ตุ๊กแกตัวของ ตุ๊กแกตัวของข้าพเจ้าโตมาก ตัวสีออกฟ้าๆ มีจุดสีแสด เรื่องหมาและตุ๊กแกนี้ข้าพเจ้าถูกพรรคพวกโจมตีหาว่าไปบอกจีนให้จัดให้รับประทาน บางคนบอกว่าตั้งแต่ออกจากปักกิ่งไม่มีความสุขใจเลย เป็นความสัจจริง ว่าข้าพเจ้ามิได้ไปสั่งใครอย่างนั้นเลย เพียงแต่พูดเล่นๆ เรื่องการกินตุ๊กแกเท่านั้น สังเกตดูฝ่ายจีนที่มากับเราจากปักกิ่ง ไม่มีใครอยากรับประทานสัตว์ชนิดนี้เลย ดูเหมือนว่าจะเป็นอาหารของคนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูนาน เมื่อพูดถึงเรื่องการกินอะไรประหลาดๆ นี้ จะต้องอธิบายไปอีกสักหน่อยว่า เป็นส่วนของการเจริญสัมพันธไมตรี เราได้รับ

(น.295) การอบรมว่าการไปต่างประเทศทุกครั้งเป็นราชการ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นฉะนั้นก็ไม่มีสิทธิอยากจะทำอะไรไม่อยากทำอะไร ไปหรือไม่ไปต้องแล้วแต่เจ้าภาพ หน้าที่ของเราก็คือเป็นตัวแทนของประเทศ และของประเทศเจ้าภาพสู่ประเทศไทย พร้อมทั้งหารือแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือบางประการเท่าที่จะทำได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และประมุขประเทศต่างๆ ล้วนมีประสบการณ์ทำนองนี้ว่า ถึงแม้ว่าจะเจ็บป่วยเป็นไข้ ก็ต้องไปตามโปรแกรม บางประเทศเมื่อแขกป่วย เจ้าภาพบ่นว่า ถ้ารู้ตัวไม่แข็งแรงมาทำไม เสียเงินต้อนรับ เสียแผนหมด สรุปว่าการเป็นตัวแทนประเทศจะต้องอดทนและระวังตัวด้วย สำหรับประเทศจีนนี้ การต้อนรับของเขาก็เหมือนคนไทยรับแขก คือดูแลทุกข์สุขของแขกทุกอย่าง และไม่ได้บังคับขู่เข็ญแต่ประการใด ผู้ที่กินหมาและตุ๊กแกก็ด้วยสมัครใจไม่ได้มีใครคะยั้นคะยอให้ชิมเหมือนบางแห่ง หลังจากรับประทานหมาและตุ๊กแก มีการรับประทานเห็ดหูหนูขาวกับลิ้นจี่ (ลอยแก้ว?) ขนมและผลไม้ ซึ่งแน่นอนคือแตงโม หลังอาหารแล้ว พรรคพวกจีนทุกคนเดินกลับมาส่งข้าพเจ้าถึงที่บ้าน ท่านผู้หญิงมณีรัตน์สนใจท่านท้าวราชวงศ์มาก ถึงกับชวนเข้ามานั่งคุยกันในห้องรับแขก “ท้าวราชวงศ์” นี้เป็นชื่อที่พวกเราเรียกกัน บางทีก็เรียกว่า “ท่านท้าว” แต่คนอื่นๆ เขาไม่รู้จัก

(น.296) ชื่อนี้ เรียกว่า เตากว๋อตง อย่างเดียว ท่านผู้หญิงถามเรื่องการแต่งตัวของชาวไต่ คำศัพท์ต่างๆ คำสวดมนต์ซึ่งท่านก็สวดนโมตัสสะ อิติปิโส ก็เหมือนกัน เสียงไม่เพี้ยนเหมือนพม่าสวดนโม ก็แปลกที่คำศัพท์ต่างๆ ที่พูดเหมือนภาษาไทยอย่างไม่ผิดเพี้ยนมากนัก แต่เวลาพูดกันจริงๆ กลับคุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องพูดผ่านอาจารย์สารสินด้วยภาษาจีน ท่านท้าวฯ เขียนอักษรของ ไต่ ให้ดู มองแล้วคล้ายๆ กับตัวไทยเขิน เจ้าหน้าที่ทางจีนเข้ามาบอกว่าให้ท่านท้าวฯ กลับไปเถอะ เพราะวันรุ่งขึ้นท่านจะเป็นผู้พาเราไปเที่ยว อาจารย์สารสินบอกว่า ที่กรุงเทพฯ อาจารย์มีหนังสือของเผ่า ไต่ ที่บ้านกลับไปแล้วจะหยิบให้ ข้าพเจ้าขึ้นไปที่ห้อง ปรึกษากับแอ๋วว่า ตกลงงานวันเกิดท่านผู้หญิงสุประภาดาจะทำอย่างไร ตกลงได้ว่าจะทำการ์ด ซึ่งก็เป็นการทำกันตามมีตามเกิด แอ๋วตัดรูปเด็กจากกระดาษเขียนจดหมายและซองที่เขาวางไว้ให้ที่โต๊ะ มาติดกับกระดาษ ให้ข้าพเจ้าเขียนว่า เส้าเหนียนเหวินฮว่ากง หรือวังอนุชนที่เราได้ดูที่ปักกิ่งเขียนคำอวยพรเป็นไทยและจีนในแผ่นนั้นไว้ให้ทุกๆ คนเซ็นชื่อและรอล่าลายเซ็นพวกอยู่โรงแรมด้วย อีกแผ่นเป็นการอวยพร มีภาพมังกรคำราม ข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่ามังกรหน้าเป็นอย่างไร พยายามหาดูตามที่ต่างๆ วาดด้วยปากกาที่เขาแจกบนเครื่องบินซึ่งสูบหมึกจากขวดที่เขาวางไว่ให้บนโต๊ะ ระบายด้วยสีเมจิกวาดเสร็จแล้วให้คุณออมดู คุณออมหัวเราะใหญ่ว่ามังกรนี้มี 6 เล็บ ขนาดมังกรของจักรพรรดิ


(น.297) รูป 134 คุยกับรองผู้ว่าราชการมณฑลซึ่งเป็นชาวไต่ หลังการเลี้ยงอาหาร

(น.297) ยังมี 5 เล็บเท่านั้น ข้าพเจ้าเลยบอกว่านี่เป็นมังกรท่านผู้หญิง! ส่วนคำแปลชื่อและคำอวยพรภาษาจีนนั้น พรุ่งนี้เช้าจะให้พี่อู๋ช่วยเขียน ตอนกลางคืนหมาเห่าจนดึก ข้าพเจ้าใจหายแทนหมา กลัวจะถูกกินพรุ่งนี้ พูดถึงหมา ป้าไลบอกว่าไม่ควรเรียกว่าหมาต้มเค็ม ควรเรียกว่าหมาพะโล้ เพราะใส่เครื่องพะโล้กลิ่นหอมๆ ถ้าต้มเค็มก็ไม่ใส่กลิ่น ป้าไลปรารภว่าหมานี่อร่อยจริงๆ หมูนี่ยิ่งเคี่ยวยิ่งแข็งแต่หมานุ่มดี