Please wait...

<< Back

หลู่ซุ่น

จัดหมวดหมู่สารสนเทศ

หลู่ซุ่น

หลู่ซุ่น (ค.ศ. 1881-1936) เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักปฏิวัติชาวจีน เกิดที่อำเภอเช่าซิง มณฑลเจ้อเจียง ใน ค.ศ. 1881 ชื่อจริงของเขาคือ โจวซู่เหริน มารดาเป็นคนแซ่หลู่ ฉะนั้นเขาจึงใช้นามปากกาว่า หลู่ซุ่น [1]



ชีวประวัติ

ท่านเกิดที่บ้านที่อำเภอเช่าซิง มณฑลเจ้อเจียง เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1881 ท่านมีชื่อเดิมว่า โจวซู่เหริน ใช้นามปากกาในการเขียนหนังสือว่า หลู่ซวิ่น แซ่หลู่เป็นแซ่ของมารดา นามปากกา “หลู่ซวิ่น” เป็นที่รู้จักกันดี จนเรียกขานท่านในชื่อนี้ มิได้เรียกชื่อเดิม ท่านอยู่ที่บ้านนี้จนอายุ 18 ปี จึงออกไปเรียนหนังสือ เมื่อกลับมาอยู่เมืองเซ่าซิงอีกก็มาอยู่ที่นี่ บ้านหลังนี้เป็นตัวอย่างของบ้านคนเซ่าซิงที่มีฐานะดีปานกลาง โจวสงจั้น (ค.ศ. 1742 – 1821) ได้ซื้อที่ดินและปลูกบ้านระหว่างรัชสมัยจักรพรรดิเจียชิ่ง (ค.ศ. 1796 – 1820 เมื่อครอบครัวตกอับใน ค.ศ. 1918 คนในตระกูลตกลงขายสวนหลังบ้าน (ไป๋เฉ่าหยวน) และอาคารด้านหลังให้เพื่อนบ้านแซ่จู หลังสมัยปลดปล่อย รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจ่ายงบประมาณเป็นค่าซ่อมแซมบ้านหลังนี้ รวมทั้งขอซื้อคืนเครื่องเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ที่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้มาจัดแสดงเป็นที่ระลึกถึงหลู่ซวิ่น และเป็นที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์[2]

ชีวิตในวัยเด็ก

เมื่อเขาเกิดมาครอบครัวมีฐานะดี แต่เมื่ออายุได้ 13 ปี คุณปู่ถูกจับติดคุกและคุณพ่อป่วยหนัก ต้องขายที่ ทำให้ฐานะทางบ้านยากจนลง นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้หลู่ซุ่นรู้สึกว่า สังคมชั้นสูงมีแต่สิ่งจอมปลอมและการคดโกง เขาจึงมีความคิดที่จะพัฒนาชาติ หลู่ซุ่นเริ่มเรียนหนังสือเมื่ออายุ 7 ปี โดยเรียนที่บ้านของยายในชนบทและสถานสอนหนังสือซานเว่ยซูอู ในสมัยนั้นชาวจีนมีความยึดมั่นในหลักปรัชญาของขงจื้อ หลู่ซุ่นก็ต้องเรียนความคิดของขงจื้อเหมือนเด็กจีนทุกคน แต่สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือ นิทานพื้นบ้านต่างๆ และประวัติศาสตร์ฉบับราษฎร์ เช่น หนังสือซือจิง หนังสือซานไห่จิง ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับภูเขาและทะเล แต่จะแทรกเรื่องเทพเจ้าและสัตว์ประหลาด ล้วนมีอิทธิฤทธิ์ เรื่องไซอิ๋ว เรื่องฮวาจิ้ง สถานที่ที่เขาเรียนมีลูกชาวไร่ชาวนาเรียนอยู่ด้วย ทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องที่ไม่เคยรู้ และรู้เรื่องที่ชาวนาถูกกดขี่ข่มเหง สิ่งแวดล้อมเช่นนี้อาจมีอิทธิพลต่องานเขียนของเขา[3]

การศึกษา

เมื่อหลู่ซุ่นอายุ 17 ปี (ค.ศ. 1898) ได้เดินทางไปนานกิง สอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูของทหารเรือ ปีที่สองย้ายไปเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูทหารบกที่รัฐบาลตั้งขึ้น ที่โรงเรียนแห่งนี้เขาได้เรียนรู้ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ของตะวันตก ได้เรียนหนังสือแปลของเอี๋ยนฝูชื่อ เทียนเอี่ยนลุ่น มีผลกระทบต่อความคิดของเขา ต่อมาไปเรียนที่โรงเรียนเหมืองแร่เพื่อให้ได้ความรู้มารับใช้ชาติ เขาได้ประกาศนียบัตรและได้ทุนไปเรียนที่โรงเรียนหงเหวินในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ. 1902 ในโตเกียวหลู่ซุ่นตัดเปีย (ค.ศ. 1903) เป็นการแสดงออกถึงการต่อต้านราชวงศ์แมนจู เขาเรียนแพทย์ต่อที่โรงเรียนแพทย์เซนไดใน ค.ศ. 1904 ระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่นเขาสนใจเรื่องวรรณกรรม ได้แปลวรรณกรรมญี่ปุ่นเป็นภาษาจีน ได้เขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น เรื่องประวัติศาสตร์มนุษยชาติ วิจารณ์เรื่องวรรณกรรม ทำวารสารซินเซิง พิมพ์นวนิยายนอกเขตแดน เขาถือว่าการเขียนวรรณกรรมจะช่วยให้คนจีนตื่นจากการนอนหลับ ให้เข้าใจระบบการปกครองที่ล้มเหลวของรัฐบาลแมนจู ราชวงศ์ชิง นับเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่ยาวนาน ในประเทศจีนเองขณะนั้นก็มีสมาคมรักชาติต่างๆ มากมาย ที่สำคัญคือ กลุ่มของดร.ซุนยัดเซ็น[4]

การงานและผลงานเขียน

หลู่ซุ่นกลับประเทศจีนในปลาย ค.ศ. 1909 เป็นอาจารย์ที่อำเภอเช่าซิงและที่หังโจว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่วิจัยด้านวรรณกรรม ค.ศ. 1911 เกิดการปฏิวัติที่เรียกกันว่าการปฏิวัติในปีซินไฮ่ มีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวที่นานกิง ค.ศ. 1912 หลู่ซุ่นได้เข้าทำงานกระทรวงศึกษา แล้วย้ายไปอยู่ปักกิ่ง ใน ค.ศ. 1915 ที่ปักกิ่งเขาตีพิมพ์บทความชื่อ บันทึกประจำวันของคนบ้า จากนั้นได้ใช้นวนิยายและสารคดีเป็นเครื่องมือโจมตีรัฐบาล ช่วงที่หลู่ซุ่นโจมตีรัฐบาลด้วยวรรณกรรมนี้นักปฏิวัติคนอื่นๆ เช่น เฉินตู๋ซิ่ว (ค.ศ. 1879 – 1942) หลี่ต้าเจา (ค.ศ. 1889 – 1927) และ หูชื่อ (ค.ศ. 1891 – 1962) รวมกันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นพวกที่ทำงานมวลชนมากแต่ไม่ใช่นักเขียน ต่อจากนั้นหลู่ซุ่นเขียนเรื่องยา เรื่องอวยพร ในค.ศ. 1921 เขียนเรื่องประวัติอาคิว เขาใช้ตัวเอกในเรื่องชื่ออาคิว แสดงปัญหาที่คนจีนในสมัยนั้นยังมีความคิดที่ล้าหลัง เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบ้านเมือง ค.ศ. 1926 หลู่ซุ่นย้ายไปเซี่ยเหมิน (เอ้หมึง) สอนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน ค.ศ. 1927 ย้ายไปอยู่กว่างโจว ซึ่งเป็นดินแดนที่มีแรงแห่งการปฏิวัติอยู่ทุกหย่อมหญ้า เพราะกว่างโจวเป็นที่พักของพ่อค้าและทหาร เขาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยจงซาน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 เจียงไคเช็กได้ก่อการปฏิวัติที่นครเซี่ยงไฮ้ กว่างโจวก็ได้รับผลกระทบและมีการจลาจล หลู่ซุ่นเห็นความจริงเกี่ยวกับเรื่องการฆ่าฟันกัน เลยไม่อยากอยู่กว่างโจวอีก ต่อไปจึงย้ายมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ เขาทำหน้าที่เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวทางด้านวรรณกรรมจีนทั่วประเทศ ตอนนั้นเกิดมีนักเขียนถูกฆ่าตาย หลู่ซุ่นก็เลยออกหนังสือพิมพ์ ออกนิตยสารรายวัน หนังสือต่างๆ เช่น เส้นทางที่ถูกต้อง คนประเภทที่ 3 ผู้หลอกลวง วัฒนธรรมโลก วัฒนธรรมของมหาชน และวัฒนธรรมเกิดใหม่ ค.ศ. 1933 หลู่ซุ่นและเพื่อน เช่น ซ่งชิ่งหลิง หลี่เผยหัว หูอี้จือ ไช่หยวนเผย หยางซิ่งโฝว์ ร่วมกันตั้งสมาพันธ์ปกป้องสิทธิประชาชนแห่งประเทศจีน หยางซิ่งโฝ่ว์ถูกฆ่าตาย หลู่ซุ่นเขียนไว้ว่า “หากฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะจับปากกามาเขียนเพื่อเป็นการคารวะต่อปืนของพวกเขา” กลุ่มของเขาพยายามต่อต้านลัทธิฟาสซิสม์ที่เผยแพร่จากเยอรมนีและญี่ปุ่นที่กำลังเข้ามารุกรานประเทศจีน ในช่วงที่อยู่เซี่ยงไฮ้ เขาได้รู้จักผู้นำคอมมิวนิสต์รุ่นเก่าๆ และได้เขียนหนังสือร่วมกันเกี่ยวกับการปลดแอก หลู่ซุ่นสนใจติดต่อกับต่างประเทศด้านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและตั้งใจสร้างผลงานอุทิศแก่ชาวโลก เขาแปลผลงานของนักเขียนต่างประเทศมากกว่า 100 ท่าน เช่น เรื่อง ล่มสลาย เสี่ยวเอี้ยหาน จิตวิญญาณแห่งความตาย เป็นต้น เป็นการแนะนำวัฒนธรรมต่างชาติให้ชาวจีนได้รู้จัก โดยส่วนตัวเขารู้จักนักเขียนและนักวิชาการชาวต่างประเทศหลายคน ตัวอย่างของคนที่เรารู้จักกันดีคือ Edgar Snow นักเขียนชาวอเมริกันที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับจีนเอาไว้มาก เขาใช้วิธีการต่างๆในการเผยแพร่วรรณกรรมจีนให้ชาวต่างประเทศได้รู้จัก เขาจะช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจแก่นักเขียนรุ่นใหม่ ด้วยการเขียนคำนำหนังสือหรือช่วยสละเงินบางส่วนช่วยนักเขียนรุ่นใหม่จัดทำวารสาร เขาจะแสดงความคิดเห็นแนะนำคนรุ่นใหม่ เช่น เรื่องของศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพประกอบหนังสือ เขาชอบศิลปะภาพพิมพ์ไม้ (woodcut) เพราะว่าทำได้ง่าย สวยงาม และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ผลงาน 3 เล่มสุดท้ายของเขาเขียนระหว่าง ค.ศ. 1934 – 1936 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ในบั้นปลายชีวิตของเขา หลู่ซุ่นเป็นวัณโรคเสียชีวิตในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1936 อายุ 56 ปี ในตู้แสดงเครื่องให้ออกซิเจนสมัยนั้น เครื่องช่วยหายใจ ใบฟอร์มปรอท ปฏิทินแขวนเปิดหน้าที่แสดงวันเดือนปีที่หลู่ซุ่นตาย ที่น่าสังเกตคือปฏิทินนี้เป็นปฏิทินที่บริษัทขายบุหรี่แจก เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งว่าเขาสูบบุหรี่มากจนตาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวการตายของเขา ในงานศพมีคนร่วมงานเป็นหมื่นๆ คน มีคนมีชื่อเสียง มีนักเขียนมาร่วมงาน ประชาชนส่งผ้าคลุมหีบศพเขียนว่า จิตวิญญาณแห่งชนชาติ [5]

บ้านเกิด

ข้าพเจ้าถามท่านทูตถึงเช่าซิง ที่ว่าเป็นบ้านเกิดของหลู่ซุ่น ท่านทูตเล่าว่าอยู่ใกล้ ๆ กับเซี่ยงไฮ้ ยังมีบ้านหลู่ซุ่นตั้งโต๊ะตัวเดิมเอาไว้ มีโรงเรียนเก่าของหลู่ซุ่น ร้านขายสุราร้านเดิมที่หลู่ซุ่นเคยเขียนถึง มีโรงงานทำเหล้าเหลือง พูดถึงเหล้าข้าพเจ้าสงสัยว่ามาคราวนี้ไม่เห็นมีเหมาไถ ท่านทูตว่าทั่ว ๆ ไปในพิธีการเขาก็ไม่ค่อยใช้เหมาไถกันแล้ว เพราะว่าเปลืองรับประทานแล้วเมากันมาก[6] ไปบ้านเกิดท่านหลู่ซวิ่น (หลู่ซุ่น) ท่านเกิดที่บ้านนี้เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1881 ท่านมีชื่อเดิมว่า โจวซู่เหริน ใช้นามปากกาในการเขียนหนังสือว่า หลู่ซวิ่น แซ่หลู่เป็นแซ่ของมารดา นามปากกา “หลู่ซวิ่น” เป็นที่รู้จักกันดี จนเรียกขานท่านในชื่อนี้ มิได้เรียกชื่อเดิม ท่านอยู่ที่บ้านนี้จนอายุ 18 ปี จึงออกไปเรียนหนังสือ เมื่อกลับมาอยู่เมืองเซ่าซิงอีกก็มาอยู่ที่นี่ บ้านหลังนี้เป็นตัวอย่างของบ้านคนเซ่าซิงที่มีฐานะดีปานกลาง โจวสงจั้น (ค.ศ. 1742 – 1821) ได้ซื้อที่ดินและปลูกบ้านระหว่างรัชสมัยจักรพรรดิเจียชิ่ง (ค.ศ. 1796 – 1820) เมื่อครอบครัวตกอับใน ค.ศ. 1918 คนในตระกูลตกลงขายสวนหลังบ้าน (ไป๋เฉ่าหยวน) และอาคารด้านหลังให้เพื่อนบ้านแซ่จู หลังสมัยปลดปล่อย รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจ่ายงบประมาณเป็นค่าซ่อมแซมบ้านหลังนี้ รวมทั้งขอซื้อคืนเครื่องเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ที่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้ มาจัดแสดงเป็นที่ระลึกถึงหลู่ซวิ่น และเป็นที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์[7] เมื่อเข้าประตูบ้าน ผ่านลานโล่ง มีเกี้ยวและพายที่ครอบครัวเคยใช้ มีลานโล่งระหว่างอาคาร มีต้นไม้ดอกติงเซียงออกดอกม่วงหรือขาว มีอาคารเสี่ยวเค่อถังที่ครอบครัวใช้เป็นที่รับแขก รับประทานอาหาร และเขียนหนังสือ มีห้องนอนของหลู่ซวิ่นตอนที่เขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง[8] ห้องนอนของคุณแม่ เตียงที่คุณแม่นอน มีรูปถ่ายของคุณแม่แขวนอยู่ คุณแม่เป็นคนฉลาดถึงแม้จะไม่มีโอกาสเข้าโรงเรียนแต่ก็ศึกษาด้วยตนเองจน สามารถอ่านหนังสือ หงโหลวเมิ่ง (ความฝันในหอแดง) ได้ ในห้องนี้มีรูปเขียนน้องชายของหลู่ซวิ่นที่เสียชีวิตเมื่ออายุ 6 ปี ของที่วางในห้องมีเตารีดแบบโบราณ เครื่องมือเย็บผ้า[9] รูป 216 ห้องแม่ เดินต่อไปห้องคุณย่า คุณย่าเป็นคนมีความรู้ เก่งในด้านการเล่านิทาน เล่นทายปริศนา หลู่ซวิ่นได้ความรู้จากคุณย่าและได้นำมาใช้ในการเขียนหนังสือ ในห้องมีกระติกน้ำร้อนสำหรับชงชา ส่วนห้องครัวมีเตาใหญ่สามเตา โอ่งใบใหญ่ๆ สำหรับใส่น้ำและดองผัก บนกระเบื้องมีภาพสิริมงคลสำหรับใช้กันผี มีรูปหนังสือ รูปกระบี่ (เขาว่าผีกลัวหนังสือ) รูปกะละมังหมายถึง มีทรัพย์สิน รูปกุ้ง ปลา หมายความว่า เหลือกินเหลือใช้[10] รูป 217 ครัว รูป 218 ครัว หลังบ้านมีสวนไป๋เฉ่าหยวน (แปลตามศัพท์ว่า สวนหญ้า 100 ชนิด แต่มีได้มีมากอย่างนั้น ใช้คำว่า ร้อย เพื่อสื่อความว่า มีหญ้านานาชนิด) เป็นสวนครัวของบ้านตระกูลโจว หลังฤดูใบไม้ร่วงใช้เป็นที่ตากข้าว หลู่ซวิ่นตอนเด็กๆ ชอบชวนเพื่อนมาเล่นที่สวนนี้ ในฤดูใบไม้ผลิเล่นว่าว ฤดูร้อนบริเวณนี้มีต้นไม้ก็จะเย็นสบายดีกว่าที่อื่น เด็กๆ ชอบเล่นจับจิ้งหรีด ดูมดแดง เป็นการศึกษาธรรมชาติจากของจริง ฤดูหนาวจับนกที่อยู่ในหิมะ สมัยก่อนว่ากันว่ามีต้นไม้หลายชนิดอยู่ในสวนนี้ มีกำแพงหินเตี้ยๆ ล้อมอยู่ การเล่นของหลู่ซวิ่นมีประโยชน์ต่อชีวิตของเขาเมื่อเป็นนักเขียน เขาชอบสวนนี้มากเมื่อโตขึ้นถูกส่งไปเรียนหนังสือ ต้องอยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด จึงรู้สึกอาลัยสวนนี้มาก[11]

บ้าน/พิพิธภัณฑ์

ที่ถนนซานอิน แต่ก่อนเคยเป็นเขตเช่าของญี่ปุ่น สร้างใน ค.ศ. 1931 หลู่ซุ่นเข้ามาอยู่ ค.ศ. 1933 เป็นตึกแถว (บ้านทาวน์เฮ้าส์) 3 ชั้น ส่วนที่เป็นของหลู่ซุ่นเขาเก็บไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ตึกข้างๆ ยังมีคนพักอาศัยอยู่ คงจะเป็นที่พักระดับไม่ค่อยดีนักเพราะอยู่ในสภาพที่โทรม (ส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์นี้สะอาดเรียบร้อย) สมัยก่อนถือว่าเป็นบ้านแบบทันสมัยของเซี่ยงไฮ้ อาคารสร้างด้วยปูน พื้นและราวบันไดทำด้วยไม้ เข้าไปก็ถึงห้องรับแขก มีจักรเย็บผ้าของภรรยา โต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะกินข้าว ในห้องนอนมีโต๊ะทำงาน เขาเอาบทความที่ยังเขียนไม่จบ ตายเสียก่อนวางเอาไว้ มีเก้าอี้หวายสำหรับนอนสูบบุหรี่ กาน้ำสำหรับชงชา ข้างฝาติดปฏิทินโฆษณาบุหรี่อีกตามเคย เครื่องเรือนในห้องเป็นเครื่องหวายทั้งนั้น เตียงที่หลู่ซุ่นนอนตายก็ยังอยู่ มีรูปลูกชายตอนอายุ 16 วัน ลูกชายของหลู่ซุ่นตอนนี้อายุ 67 ปียังมีชีวิตอยู่ แต่ก่อนนี้เคยทำงานสถานีวิทยุโทรทัศน์ปักกิ่ง ห้องเก็บของ เก็บยาต่างๆ เครื่องทำปกและเข้าเล่มหนังสือ เรียกว่า การเข้าเล่มแบบเซี่ยนจวง เขาสนับสนุนให้เด็กๆ รู้จักทำอะไรเอง เช่น นักเขียนก็ควรรู้จักการเข้าเล่มหนังสือเอง ทำภาพประกอบเอง ห้องนอนของลูกชาย หลู่ซุ่นเคยใช้เตียงในห้องนี้ พอมีลูกก็เลยยกให้ลูก ตอนเด็กๆ หลู่ซุ่นเคยต้องนอนกับคนใช้ ถูกเบียด ก็เลยอยากให้ลูกได้นอนสบายๆ เตียงนี้นายทหารเรือญี่ปุ่นให้เขา ห้องเล็กๆ สำหรับแขกนอน มักจะมีคนมาอาศัยบ้านเขาอยู่เสมอ เป็นพวกที่หนีจากการตามล่าของฝ่ายรัฐบาล[12]

อนุสาวรีย์

อนุสาวรีย์หลู่ซุ่นที่ถนนเถียนอ้ายลู่ มีรูปหล่อสำริด ผู้ปั้นรูปเป็นศิลปินเรืองนามชื่อ เซียวฉวนจิ่ว หลังรูปปั้นทำเป็นที่ฝังศพหลู่ซุ่น ปลูกต้นไม้ทำให้ร่มรื่นดี มาดามสูว์และลูกชายชื่อ โจวไห่ เป็นผู้ปลูกต้นไม้สองต้นข้างหลุมศพ อนุสรณ์สถานนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1956 ยี่สิบปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต [13] รูป 250 อนุสาวรีย์หลู่ซุ่น



อ้างอิง

1. เย็นสบายชายน้ำ หน้า 274
2. เจียงหนานแสนงาม หน้า 315
3. เย็นสบายชายน้ำ หน้า 274-275
4. เย็นสบายชายน้ำ หน้า 275-276
5. เย็นสบายชายน้ำ หน้า 276-279
6. มุ่งไกลในรอยทราย หน้า 13
7. เจียงหนานแสนงาม หน้า 315
8. เจียงหนานแสนงาม หน้า 315-316
9. เจียงหนานแสนงาม หน้า 316
10. เจียงหนานแสนงาม หน้า 317
11. เจียงหนานแสนงาม หน้า 317
12. เย็นสบายชายน้ำ หน้า 282-284
13. เย็นสบายชายน้ำ หน้า 280