Please wait...

<< Back

" มุ่งไกลในรอยทราย วันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2533 "


(น.328) รูป 212. เพื่อนชาวอูหลู่มู่ฉีมาส่งแต่เช้ามืด
Our Urumqi friends bid us farewall.

(น.329) เสาร์ที่ 21 เมษายน 2533
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีสี่แต่ตื่นก่อนจึงมีเวลาเขียนหนังสือ ตีสี่ครึ่งเขามาเคาะประตูปลุกให้ทุกห้อง ตีห้าออกเดินทางจากโรงแรม โดยมีศาสตราจารย์มู่ชุนยิงนั่งไปด้วย อาจารย์มู่เป็นเลขาธิการของสมาคมการศึกษาเอเชียกลางของจีน รองเลขาธิการของสมาคมการศึกษาตุนหวง – ทู่หลู่ฟัน ของจีน ผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์ของสถาบันโบราณคดีและโบราณวัตถุแห่งซินเกียง สถาบันเหล่านี้ประชุมกัน 2 ปีต่อครั้ง เขามีข้อมูลต่าง ๆ ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าต้องการทราบอะไรเพิ่มเติมก็จะเขียนถึงเขา เดินทางราวชั่วโมงหนึ่งก็ถึงสนามบิน มีท่านรองผู้ว่าราชการมณฑลมาส่ง ข้าพเจ้าขอบคุณและลาชาวซินเกียงทุกท่านที่มาส่ง เมื่อเครื่องบินออกท้องฟ้ายังมืดสนิท ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงตัวเองอีกครั้งหนึ่งสำหรับส่งที่กวางโจว โดยฝากคุณหลิวให้เป็นคนส่ง เพราะหลังจากที่เรากลับแล้ว คุณหลิวว่าจะพักอยู่กวางโจวต่ออีกสัก 2 – 3 วันกับครอบครัว แล้วจึงกลับปักกิ่ง ท่านที่ปรึกษาเช่าอธิบายเรื่องสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาที่ปากีสถาน หลังจากนั้นข้าพเจ้าเลยคุยกับท่านทูตเตชและอาจารย์สารสินเรื่องศัพท์วิชาการและเรื่องต่าง ๆ อีกนาน ก่อนลงจากเครื่องบินก็ลากันอีกทีเป็นครั้งที่ 2


(น.330) รูป 213. ถึงสนามบินกวางโจว
Quangzhou Airport.

(น.330) เครื่องบินลงที่กวางโจว มีท่านกงสุลไทยประจำกวางโจว ผู้ว่าราชการมณฑลกวางโจว ผู้แทนสมาพันธ์สตรีของกวางโจว ซึ่งข้าพเจ้าเคยได้พบที่เมืองไทยมา 2 ครั้งแล้วมารับ พานั่งรถไปที่ห้องรับรองของสนามบิน มีข้าราชการสถานกงสุล นักเรียนไทยที่มาเรียนภาษาจีนก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยประมาณ 50 คนมาต้อนรับ ท่านผู้ว่าราชการมณฑลกวางโจวถามถึงการเดินทางที่ผ่านมา และสอนให้ทดลองเดินทางสายแพรไหมทางทะเลด้วย ถามว่าสนใจไหม (จริง ๆ แล้วดูเหมือนว่าในจีนมีแค่ฮกเกี้ยน หางโจว กวางโจว เท่านั้น แล้วกลายเป็นเส้นทางจำหน่ายอย่างอื่น ไม่ใช่แพรไหม) ผู้แทนสมาพันธ์สตรีเล่าถึงตอนที่เข้าไปพบข้าพเจ้าและได้ดูงานศิลปาชีพด้วย สักพักใหญ่ข้าพเจ้าไปถ่ายภาพและคุยกับข้าราชการสถานกงสุล จนเครื่องบินสายการบินไทยที่มารับพร้อมที่จะเดินทางไปยังฮ่องกง แล้วกลับกรุงเทพฯ ความรู้สึกในตอนนั้นค่อนข้างจะแปลก คือค่อนข้างจะอ้างว้างวังเวง พูดไม่ออก ตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศจีนในครั้งนี้เป็นเวลาร่วม 2



(น.331) รูป 214.
นิจจาเอ๋ยเคยสรวลสำรวลเล่น
จะจากไปมิได้เห็นก็ใจหาย
จงอยู่ดีเถิดอย่ามีอันตราย
ขอลาเลื่อนเคลื่อนคลายไปก่อนเอย...
(เปียนเหมยพูดเป็นภาษาไทยว่าทูลลาเพคะ)
Alas, we used to laugh and play.
Departure made me dismay.
Wishing you safe and fine I have to bid you good-bye
(Bianmei said in Thai “Thoon laa phej kha”)



(น.332) รูป 215 .
นิจจาเอ๋ยเคยสรวลสำรวลเล่น
จะจากไปมิได้เห็นก็ใจหาย
จงอยู่ดีเถิดอย่ามีอันตราย
ขอลาเลื่อนเคลื่อนคลายไปก่อนเอย...
(เปียนเหมยพูดเป็นภาษาไทยว่าทูลลาเพคะ)
Alas, we used to laugh and play.
Departure made me dismay.
Wishing you safe and fine I have to bid you good-bye
(Bianmei said in Thai “Thoon laa phej kha”)
(น.332) สัปดาห์ สำหรับการเดินทางแบบนี้จะว่าน้อยก็น้อย จะว่านานก็นาน ข้าพเจ้าพยายามตั้งใจใฝ่รู้สภาพต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น ได้ยิน ได้ฟัง การท่องเที่ยวไปในโลกย่อมต้องเปิดใจให้กว้าง ใช้สติปัญญาที่มีอยู่พิจารณาสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจ และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่สำคัญที่สุด คือมิตรสหายทั้งใหม่และเก่าที่ได้พบในครั้งนี้ทั้งไทยและจีน โดยเฉพาะผู้ที่ได้เดินทางร่วมกันมาจนเกิดความผูกพัน แม้ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสพบกันอีกหรือไม่ คำพูดและข้อคิดหลาย ๆ อย่างยังกระจ่างในห้วงคิด ไม่ว่าจะเป็นความกังวล หรือปณิธานของท่านผู้ว่าราชการมณฑลกานซู ที่ว่าทำอย่างไรจะพัฒนาการเกษตรให้พอเลี้ยงปากท้องของประชาชนในมณฑล หรือแนวคิดของท่านเลขาธิการเฉิงที่ว่าถ้ามีน้ำแล้วอุปสรรคต่าง ๆ ก็พอจะแก้ไขไปได้ สุดท้ายเป็นการร่ำลาผู้ที่มาส่ง จะพูดอะไรกันก็คงเป็นแต่การทำลายความเงียบเท่านั้น ข้าพเจ้าบอกเปียนเหมยให้มาเที่ยวเมืองไทยบ้าง แต่เขา



(น.333) รูป 216.
นิจจาเอ๋ยเคยสรวลสำรวลเล่น
จะจากไปมิได้เห็นก็ใจหาย
จงอยู่ดีเถิดอย่ามีอันตราย
ขอลาเลื่อนเคลื่อนคลายไปก่อนเอย...
(เปียนเหมยพูดเป็นภาษาไทยว่าทูลลาเพคะ)
Alas, we used to laugh and play.
Departure made me dismay.
Wishing you safe and fine I have to bid you good-bye
(Bianmei said in Thai “Thoon laa phej kha”)

(น.333) ก็ว่ายาก ให้ข้าพเจ้ากลับมาให้เขาดูแลดีกว่า บอกครูกู้ และคุณหลิวว่าพบกันที่กรุงเทพฯ ชวนคุณจางและเติ้งอิงให้หาโอกาสมาประจำเมืองไทย ฯลฯ ทุกคนทั้งฝ่ายไทย (สถานทูต) และฝ่ายจีนก็จะขึ้นเครื่องบินกลับปักกิ่งเย็นนี้ เครื่องบินสายการบินไทยเริ่มเคลื่อนเพื่อพาเราไปแวะฮ่องกง และกลับสู่บ้านเกิด แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน เพื่อสร้างฉากชีวิตที่รุ่งเรืองแจ่มใสต่อไป ข้าพเจ้าคิดขึ้นมาถึงบทกวีของหลี่ไป๋ที่ชื่อว่า “ของขวัญให้วังหลุน” มีความว่า หลี่ไป๋โดยสารเรือกำลังจะเดินทางไป
ทันใดนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าและร้องเพลง
น้ำในบ่อดอกท้อลึกถึงพันเชี้ยะ
แต่ก็ไม่เท่าความรู้สึกของวังหลุนเมื่อส่งฉัน
ข้าพเจ้าไม่ทราบจะเป็นหลี่ไป๋หรือวังหลุนดี


(น.334) รูป