<< Back
มหาวิทยาลัยซานตง
จากหนังสือ
หวงเหออู่อารยธรรม
หวงเหออู่อารยธรรม หน้า 52
(น.52) มหาวิทยาลัยซานตงเป็นมหาวิทยาลัยรวมวิชา มีทุกสาขาทั้งวรรณคดี ประวัติศาสตร์ ปรัชญา และวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ มีคณะโบราณคดี ครูอาจารย์ขุดพบของโบราณในซานตง เขาจะให้ดูของที่ขุดได้
บ่ายพรุ่งนี้จะได้ไปดูสถานที่สำคัญในจี่หนาน เช่น น้ำพุเป้าทูเฉวียน และทะเลสาบต้าหมิงหู ภูมิประเทศของเมืองจี่หนานทางใต้สูงทางเหนือต่ำ ใต้ติดไท่ซาน เหนือติดหวงเหอ อยู่ในหุบเขา จึงมีน้ำพุมากมาย ถ้าฝนตกน้ำมาก น้ำพุก็จะผุดมามาก หลายปีมานี้แห้งแล้ง ขนาดตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ น้ำยังน้อย ฉะนั้นน้ำพุจึงไม่มาก สมัยโบราณจี่หนานมีน้ำพุที่มีชื่อเสียง 72 แห่ง สวนเป้าทูมีน้ำพุใหญ่ที่สุด เคยมีน้ำออกมาก ขณะนี้น้ำไม่มากนัก ภายในสวนมีห้องที่จัดเป็นที่ระลึกหลีขู่ฉาน จิตรกรมีชื่อของจีนปัจจุบัน ทะเลสาบต้าหมิงเป็นทะเลสาบธรรมชาติ ไม่ใช่ทะเลสาบขุด มีทิวทัศน์สวยงาม กวีมีชื่อคือหลี่ไป๋กับตู้ฝู่เคยมา ในสมัยราชวงศ์ฮั่น โจโฉเคยมาปกครองเมืองนี้ พรุ่งนี้จะได้ดูพิพิธภัณฑ์ซานตง ตอนค่ำรองผู้ว่าราชการจะเป็นเจ้าภาพในนามมณฑล ท่านผู้ว่าราชการติดประชุมสภามาไม่ได้
คุณอู่เองเคยทำงานการค้าต่างประเทศ เคยไปเมืองไทย 3 ครั้ง ได้ไปวัดพระแก้ว พัทยา และเชียงใหม่ ได้ศึกษาเรื่องการนำเข้ามันสำปะหลังเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารสัตว์ นำเข้าปอจากไทยมาทอเป็นกระสอบส่งกลับไทย
เยอรมนีมีอิทธิพลอยู่ที่ชิงเต่า ทุกวันนี้ยังมีบ้านที่มีรูปแบบสไตล์เยอรมัน คนเยอรมันทำทางรถไฟสายจี่หนาน-ชิงเต่า (ที่จริงฉันสนใจประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่การประชุมแวร์ซายส์ตกลงโอนทรัพย์สินของเยอรมนีเป็นของญี่ปุ่นทำให้คนจีนไม่พอใจเกิดการประท้วงวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919)
ทั้งมณฑลมีเนื้อที่ 156,000 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 87 ล้านคน (มากกว่าประเทศไทยทั้งประเทศ!)
หวงเหออู่อารยธรรม หน้า 56-64
(น.56) เรือนรับรองหนานเจียว จี่หนาน มณฑลซานตง
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2543
ถึงประพจน์
เช้านี้ไปมหาวิทยาลัยซานตง คุณอู่นั่งรถไปด้วย เขาเล่าว่าเรือนรับรองอยู่ทางใต้ของนครจี่หนาน เลยได้ชื่อว่าหนานเจียว พูดกันถึงสมัยก่อนที่มีการวิจารณ์ขงจื่อ คุณอู่เองเห็นว่าขงจื่อมีทั้งส่วนดีมีประโยชน์และส่วนที่ไม่ดี ส่วนดีคือ ส่วนปรัชญาการปกครองที่ผู้ปกครองต้องเมตตาประชาชน ทำให้คนมีจริยธรรม ส่วนไม่ดีคือ เรื่องดูถูกผู้หญิง ดูถูกการค้าขาย อย่างไรก็ตามคนที่วิจารณ์ขงจื่อส่วนมากจะวิจารณ์ไปโดยไม่ได้ศึกษาและไม่เข้าใจจริง ฉะนั้นจึงต้องศึกษาอย่างเป็นธรรมเสียก่อน (ฉันเองก็ไม่ได้ศึกษา ได้แต่ฟังๆ เขาพูด ดูเหมือนว่าแต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีการวิเคราะห์ตีความขงจื่อไปต่างๆ นานา ที่ว่าดูถูกผู้หญิงและการค้าจะเป็นเรื่องมาทีหลังกระมัง)
(น.56)
รูป 39 โมเดลอาคารในมหาวิทยาลัย
Model of Shandong University.
(น.57) เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยซานตง ผู้ที่ต้อนรับเป็นรองอธิการบดีชื่อ ศาสตราจารย์จั้นเทา (Zhan Tao) เพราะอธิการบดีติดประชุมสมัชชาอยู่ที่ปักกิ่ง รองอธิการบดีกล่าวต้อนรับและบรรยายกิจการของมหาวิทยาลัย บอกว่าฉันเป็นแขกสำคัญคนแรกใน ค.ศ. 2000 ถือว่าเป็นการเสริมไมตรีด้านการศึกษาเพราะได้นำนักวิชาการมาหลายท่าน หวังว่าจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
การศึกษาวัฒนธรรมโบราณของจีนเป็นวิชาหนึ่งที่สำคัญของมหาวิทยาลัยซานตง มหาวิทยาลัยนี้ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1901 เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของจีน เป็นสถานศึกษาแห่งเมืองที่ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลาง เหตุที่การวิจัยภาษาจีน ประวัติศาสตร์จีน ปรัชญาโบราณโดดเด่น สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมณฑลซานตงเป็นแหล่งวิชาการจีน ที่จริงแล้วลักษณะพิเศษของมหาวิทยาลัยนี้คือ วิชาการด้านวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการบริหาร ได้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว กลายเป็นวิชาเด่นของมหาวิทยาลัย รัฐบาลกลางให้งบประมาณมามาก โดยเฉพาะด้านวิจัย มหาวิทยาลัยพยายามเปิดสู่โลกภายนอก ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ แลกเปลี่ยนนักศึกษา มหาวิทยาลัยมีสำนักพิมพ์และโรงพิมพ์เอง
รองอธิการบดีให้ของขวัญเป็นซีดีรอมเกี่ยวกับขงจื่อ
รองอธิการบดีเป็นนักคณิตศาสตร์ ศึกษาจากมหาวิทยาลัยซานตงและมหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมนี คณาจารย์ที่มานั่งอยู่ในห้องมีทั้งอาจารย์ที่ศึกษาขงจื่อ ศึกษาคัมภีร์และพงศาวดารจีนโบราณ วิจัยกวีนิพนธ์จีนโดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ซ่ง (อาจารย์หลิวหน่ายฉังท่านนี้มีผลงานเขียนเล่มใหม่คือ วิเคราะห์บทกวีของหลี่ชิงเจ้า) ปรัชญาต่างประเทศเปรียบเทียบกับปรัชญาจีน ศึกษาอักษรโบราณจีน และการเขียนตัวหนังสือ (shufa-calligraphy) วรรณคดี
(น.58) โบราณจีน วิจัยประวัติท้องถิ่นมณฑลซานตง วิจัยสุนทรียศาสตร์ตะวันตก วิจัยลัทธิเต๋า อาจารย์เหล่านี้ไม่มีโอกาสอธิบายอะไรเลยทั้งๆ ที่ในกำหนดการเขียนไว้ว่าฟังบรรยายเกี่ยวกับขงจื่อและเมิ่งจื่อ ก็ไม่รู้จะขอฟังได้อย่างไร เพราะเวลาก็หมดแล้ว ถึงเวลาดูพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย ตอนแรกให้ดูโมเดลของมหาวิทยาลัย และประวัติมหาวิทยาลัย มีรูปอธิการบดีเก่าๆ คนแรกชื่อ กานเช่าอวี้ เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายพลยวนซีไข
ประกาศนียบัตรของผู้สำเร็จการศึกษารุ่นแรก ในใบประกาศนียบัตรนี้นอกจากเขียนชื่อนักศึกษาแล้ว ยังมีชื่อพ่อ ปู่ทวด (แสดงว่าการเป็นลูกเต้าเหล่าใครเป็นเรื่องสำคัญมากของสังคมสมัยนั้น) ภูมิลำเนาของนักศึกษาผู้นั้น ขุนนางผู้ใหญ่ผู้ได้รับมอบหมายจากจักรพรรดิให้ออกประกาศนียบัตร รอบๆ มีลายมังกร
มหาวิทยาลัยซานตงแต่เดิมเป็นวิทยาลัย ตั้งเมื่อ ค.ศ. 1901 เป็นสถาบันสำหรับคนชั้นสูงเรียน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยชิงเต่าเมื่อ ค.ศ. 1924 เอกชนสนับสนุนทุนทรัพย์ และค.ศ. 1926 ตั้งเป็นมหาวิทยาลัยของมณฑล ค.ศ. 1930 มหาวิทยาลัยซานตงมาขึ้นกับรัฐบาลกลาง อธิการบดีหวังโซ่วถง เคยเป็นจอหงวนสมัยราชวงศ์ชิง
อาจารย์ที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยมีหลายท่าน เช่น เหล่าเซ่อ (Lao She) (ค.ศ. 1899-1966) เป็นนักประพันธ์ มีผลงานวิจารณ์การปฏิวัติและความอยุติธรรมของสังคมจีน ในทศวรรษ 1920 และทศวรรษ 1930 แต่ถูกพวกเรดการ์ดบีบให้ฆ่าตัวตายในระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม (คนนี้ฉันรู้จักก็เลยอธิบายยาวหน่อย) เสิ่นฉงเหวิน (นักประพันธ์) ถงตี้โจว (นักชีววิทยา) หวังก้านเชา (นักฟิสิกส์) ค.ศ. 1951 มีวิทยาเขตที่ชิงเต่า ค.ศ. 1958 ออกจากชิงเต่ามาอยู่ที่จี่หนาน (ประวัติมหาวิทาลัยที่เขาเล่าดูย้อนไปย้อนมา ฉันฟังไม่รู้เรื่อง)
(น.59)
รูป 40 ห้องเก็บศิลปวัตถุของมหาวิทยาลัย
The University Art Treasure Room.
(น.59) มหาวิทยาลัยออกหนังสือวรรณคดี ประวัติศาสตร์ อธิการบดี คนที่มีชื่อเสียงชื่อ เฉินฝั่งอู๋ เป็นนักวรรณคดีและนักปฏิวัติ เคยเข้าร่วมในการเดินทัพทางไกล 25,000 ลี้ เป็นนักวิชาการระดับศาสตราจารย์เพียงคนเดียวที่อยู่ในกองทัพแดงและร่วมเดินทางไกล
อาจารย์ที่ดูแลศิลปวัตถุให้ฉันดูภาพเขียนมีค่าที่ศาสตราจารย์จานเว่ยหวังบริจาค มีมากมายจนดูไม่ทั่ว มีตุ้ยเหลียนที่นายพลจั่วจงถัง ราชวงศ์ชิงเป็นผู้เขียน ภาพม้าของสวีเปยหง ลายมืออู๋ชางซั่ว หวังอี้หรง สมัยราชวงศ์ชิง เคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยและเป็นคนที่พบหนังสือที่เขียนบนกระดองเต่า ภาพเขียนของฉีไป๋สือ เป็นภาพนกสวยงามมาก ฉันเคยเรียนประวัติของฉีไป๋สือ จึงชอบภาพเขียนของเขามากเป็นพิเศษ หวังจิ้งหมิงสมัยราชวงศ์ชิงชอบเขียนภาพต้นไม้และหิน มีตราประทับของจักรพรรดิเฉียนหลง เรื่องที่มีตราจักรพรรดิประทับบนภาพนั้นแสดงว่าเป็นภาพที่จักรพรรดิโปรดปรานถือว่าเป็นเกียรติ แต่นักวิชาการบางคนว่าทำให้ภาพมีตราประทับเลอะเทอะ
(น.60)
รูป 41 สิ่งของในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย ได้จากการขุดค้นของภาควิชาโบราณคดี มีระฆังและภาชนะ “ติ่ง”
Art objects belonging to the University excavated by the Department of Archaeology.Bells and tripod contains "ting" are on display.
รูป 42 เคาะเครื่องดนตรีหิน
Beating the stone musical instrument.
(น.61) ในห้องพิพิธภัณฑ์ ผู้อำนวยการหลู่เหวินเซิงเป็นคนพาชม เล่าประวัติว่าภาควิชาโบราณคดีของคณะประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยซานตง ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1972 ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาภาควิชาโบราณคดีเน้นความสำคัญของการทำงานภาคสนาม ของที่แสดงในพิพิธภัณฑ์นี้เลือกมาจากสิ่งของต่างๆ มากมายที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญด้านศิลปะและเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดีอิ่นเจียเฉิงซึ่งขุดค้นตั้งแต่ ค.ศ. 1973-1986 ในอำเภอซื่อสุ่ย ทำให้สามารถค้นคว้าเรื่องวัฒนธรรมหลงซานและเยี่ยสือ ทางตอนใต้ของแม่น้ำหวงเหอและแม่น้ำไหวเหอ รายงานของการขุดค้นครั้งนี้มีชื่อว่า “แหล่งโบราณคดีอิ่นเจียเฉิงที่ซื่อสุ่ย” ได้รางวัลที่ 2 ในด้านการวิจัยดีเด่นสาขาสังคมศาสตร์ซึ่งมณฑลซานตงเป็นผู้ให้ และวิจัยดีเด่นทางด้านมนุษยศาสตร์ ผู้ที่ให้คือคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
แหล่งติงกงในอำเภอโจวผิง เป็นสถานที่ฝึกงานของภาควิชาโบราณคดี มีการขุดบริเวณนั้น 6 ครั้ง ใน ค.ศ. 1991 เมืองวัฒนธรรมหลงซานได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 10 ของการค้นพบทางโบราณคดียอดเยี่ยม ตัวอักษรบนแผ่นหินประมาณ 4,200 ปีมาแล้ว ทำให้เราได้ข้อมูลว่าการเขียนหนังสือมีมาก่อนที่เราเชื่อกัน การศึกษาสิ่งของเหล่านี้ให้อิทธิพลที่ดีต่อการศึกษาจุดกำเนิดอารยธรรมจีน
(น.62) ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1995 เมื่อมีการค้นพบเครื่องสำริดหยกและหิน ยังมีกระดูกที่ทำเป็นเครื่องมือและเครื่องเซรามิกในสุสานที่ขุดได้ ณ แหล่งเซียนเหรินไถในอำเภอฉังชิง นครจี่หนาน ของบางอย่างหายากมาก เช่น ภาชนะสามขาที่เรียกว่า “ติ่ง” แจกันรูปสี่เหลี่ยมทั้งชุด มีลวดลายมังกรและหงส์ หินดนตรี เป็นหินแขวนกับราวตีเป็นเพลงได้
มีการขุดและศึกษาอยู่ 20 กว่าแห่ง เช่น ต้าซินจวง ในนครจี่หนาน แหล่งกว๋อเจียหลง ในอำเภอซินเวิ่น และแหล่งจงเฉินเหอ เมืองโซ่วกวง ทั้งหมดนี้ดึงดูดความสนใจของวงวิชาการทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ เพราะคุณค่าทางวิชาการที่สูงส่ง
ขณะนี้มีศาสตราจารย์ 1 ท่าน รองศาสตราจารย์ 5 ท่าน อาจารย์ 3 ท่าน ในภาควิชาโบราณคดี 2 ท่านได้รับยกย่องเป็นนักวิชาการดีเด่นในมหาวิทยาลัย ภาควิชานี้มีโครงการปริญญาโทและมีการทำงานภาคสนามเป็นกลุ่ม ฝึกหัวหน้ากลุ่มทำงานเป็นทีม มีวิชาพื้นฐานคือ “การปฏิบัติงานภาคสนาม” ได้รับรางวัลความสำเร็จยอดเยี่ยมในการสอนจากรัฐบาลกลางใน ค.ศ. 1989 ใน 10 ปีหลังมีการพิมพ์หนังสือของอาจารย์ในภาควิชาโบราณคดีถึง 10 กว่าเล่ม และยังมีบทความตีพิมพ์ในจีนและต่างประเทศอีกกว่า 300 เรื่อง ขณะนี้ภาควิชาเป็นศูนย์การศึกษาโบราณคดีชั้นนำของจีน
ในตู้มีสิ่งของที่มาจากการขุดค้นหลายอย่าง ฉันไม่มีเวลาดูทั้งหมด (ตามเคย) จะบรรยายเท่าที่จดมาทัน ถือว่าเป็นหนังตัวอย่างก็แล้วกัน
(น.62)
รูป 43 ของชิ้นที่ตั้งตรงกลางชั้นบนในภาพนี้เป็นแท่นมีเสา นกอยู่บนยอดเสาตัวหนึ่ง ตรงกลางเสาตัวหนึ่ง ทำด้วยสำริด
In the middle of the upper shelf displayed a small bronze column with two birds, one at its top, the other in the middle.
(น.63) สิ่งของที่ได้จากการขุดค้นที่เซียนเหรินไถใน ค.ศ. 1995 เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยราชวงศ์โจว มีพื้นที่กว่า 1,000 ตารางกิโลเมตร ที่จริงแล้วพบทั้งวัฒนธรรมเซี่ย โจวตะวันตก ชุนชิว ฮั่น ได้พบสุสานมีของทั้งที่เป็นสำริดและดินเผา ของบางชิ้นมีตัวอักษรสลัก มีภาชนะใส่อาหารที่ยังมีอาหารประเภทข้าวฟ่างติดอยู่ ภาชนะบางอย่างใช้เฉพาะในพิธีกรรม
แท่นมีเสาปักอยู่มีนกอยู่บนยอดตัวหนึ่ง ตรงกลางเสาอีกตัวหนึ่ง ทำด้วยสำริด สมัยชุนชิว พบที่เซียนเหรินไถเหมือนกัน เขาอธิบายว่าเป็นความเชื่อของพวกตงอี๋นับถือนก (นกพิราบป่า) ดูอีกทีก็มีอะไรคล้ายๆ เสาหงส์ของบ้านเรา ที่จริงมีคนเขียนบทความสันนิษฐาน แต่เป็นภาษาจีน ฉันคงอ่านยาก
พวกเครื่องหยก ของพวกนี้เราเรียกว่าหยกทั้งนั้น ที่จริงเป็นหินมีค่าหลายชนิด ชิ้นที่สำคัญของที่นี่ทำด้วย Nephrite (หยกชนิดหนึ่ง) มาจากซินเกียง ชิ้นอื่นๆ เป็นหยกท้องถิ่น
สุสานหมายเลข 6 มีขนาดใหญ่มาก และเก็บรักษาได้เป็นอย่างดี มีภาชนะที่ใช้สำหรับพิธีที่เรียกว่า ติ่ง ขนาดใหญ่ 15 ใบ ปกติสมัยโจวจะมีหลักตายตัวว่าจำนวนติ่งขึ้นอยู่กับยศของคนตาย ที่มากที่สุดคือ 9 ใบ แต่ที่นี่มีถึง 15 ใบ มีชุดสำหรับล้างมือ เป็นพิธีก่อนที่จะเอาของไปถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องดนตรีมีระฆังราวทำด้วยสำริดและระฆังหิน อาวุธต่างๆ เช่น ดาบ มีด ลูกศร มีจานที่ใช้เป็นของขวัญในงานแต่งงาน มีอักษรจารึกว่าเจ้าหญิงไปแต่งงานกับเจ้าชายอีกรัฐ มีเครื่องดินเผา
(น.64) แหล่งโบราณสถานอิ่นเจียเฉิง เป็นแหล่งที่ฝึกนักศึกษาโบราณคดี พบสิ่งของในวัฒนธรรมหลงซานและเยี่ยสือ ของที่มาแสดงไว้มีของที่เป็นเครื่องดินเผาสีดำ วัฒนธรรมหลงซาน มีบางชิ้นปั้นได้บางเรียกว่าเครื่องปั้นเปลือกไข่ มีของสมัยราชวงศ์เซี่ย นอกจากเครื่องดินเผาแล้วยังมีเครื่องมือทำจากกระดูกและหิน มีภาชนะสำริดรูปร่างต่างๆ เช่น กุย (สามขา)
แหล่งโบราณคดีติงกง อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านติงกง ตำบลหยวนเฉิง อำเภอโจวผิง มีการประกาศเป็นแหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ระหว่าง ค.ศ. 1985-1993 ได้มีการขุดหลายครั้ง ได้ของโบราณมาถึง 6,000 ชิ้น เป็นของก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่เรียกว่า วัฒนธรรมเป่ยซิน วัฒนธรรมต้าเวิ่นโข่ว วัฒนธรรมหลงซาน วัฒนธรรมเยี่ยสือ ต่อมาถึงของในสมัยราชวงศ์ซัง ราชวงศ์ฮั่น และสมัย 5 ราชวงศ์ ของที่พบมีทั้งภาชนะดินเผา เศษดินเผาที่มีอักษรจารึก มีชิ้นหนึ่งมีอักษร 11 ตัว อ่านออกเพียง 4 ตัว มีภาชนะสำริดที่เรียกว่า ลี่ และ กุย ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยกำลังทำฐานข้อมูลของเครื่องสำริด
ยังมีสิ่งของที่ขุดได้จากแหล่งโบราณคดีอื่นๆ อีก แต่ฉันไม่ได้ดู ดูของอื่นในตู้ มีกระดูกสำหรับพยากรณ์ (oracle bones) อานหยังมีมากเพราะเป็นราชธานี มีอาวุธสำริด ที่ฝาห้องมีสำเนาจารึกหน้าสุสานสมัยราชวงศ์ฮั่น เขาอธิบายว่าพูดถึงชีวิตในสวรรค์ มีหนังสือคำตอบข้อสอบสมัยราชวงศ์ชิง คนนี้ได้ที่ 37 ตกลงว่าสอบได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบ เครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์เว่ย ราชวงศ์จิ้น สมัยราชวงศ์ฉี ราชวงศ์สุย ของสมัยหินใหม่แหล่งต้าเวิ่นโข่ว ของสมัยราชวงศ์ฮั่นมีพวกของจำลอง ของใช้ที่สำหรับใส่ในสุสาน เช่น บ่อน้ำ ยุ้งฉาง และครัว คันฉ่อง สำริด เหรียญเงิน
เครื่องถ้วยเคลือบ 3 สีสมัยราชวงศ์ถัง ชิ้นนี้มหาวิทยาลัยซื้อเมื่อทศวรรษ 1950 ราคา 6 หยวน
หวงเหออู่อารยธรรม หน้า 105,106
(น.105) ต้นไม้ในบริเวณนั้นมาจากบ้านเกิดของลูกศิษย์ต่างๆ ของขงจื่อ มีสุสานของลูกขงจื่อซึ่งไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนที่ฝังของขงจื่อเขาว่ามีการศึกษาแล้วว่าอยู่ตรงนั้น ป้ายทำใน ค.ศ. 1443
ปลายราชวงศ์ซ่ง มีพวกจินหรือกิมก๊กเข้ามารุกราน ทหารกลุ่มหนึ่งจะมาขุดสุสาน เมื่อนายทหารทราบว่าเป็นสุสานของขงจื่อ พวกที่จะขุดสุสานก็ถูกประหารชีวิต แสดงว่าแม้แต่ชาวจินก็รู้จักขงจื่อ เป็นเหตุให้ตั้งป้ายนี้
เมื่อขงจื่อเสียชีวิตแล้ว มีลูกศิษย์มาเฝ้าอยู่ 3 ปี คนที่ชื่อจือกังมาอยู่ถึง 6 ปี ภายหลังมีศาลาที่ประทับจักรพรรดิที่มาไหว้สุสาน มีพวกอ๋องของคนกลุ่มน้อยด้วย
กว่าจะกลับถึงที่พักก็ค่ำแล้ว รับประทานอาหารค่ำแบบกันเอง แถมก็ต้องคุยเรื่องประพจน์ด้วยตามเคย เมื่อรับประทานแล้วนักข่าวทีวีมณฑลซานตง หรือ Shan Dong Televisions – SDTV ของซานตงมาสัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์ออกตัวว่าเขาแต่งตัวไม่ดีเพราะวันนี้เดินทางทั้งวัน ฉันว่าไม่เป็นอะไรเพราะที่จริงฉันก็แต่งไม่ค่อยจะดีเท่าไร แต่วันนี้ซุปเขาดูแลจัดการให้แต่งดีๆ
(น.106) ตกลงฉันพูดเป็นภาษาไทยและให้คุณอู๋จื้ออู่แปล ก็จะดีเพราะว่าทีวีไทยก็จะได้ถ่ายด้วย ฉันจะเล่าคำถามคำตอบคร่าวๆ ดังนี้
1. สาเหตุที่มาเยือนซานตง ฉันว่าเป็นมณฑลที่เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมหวงเหอ (ฮวงโห) มีวัฒนธรรมจีนโบราณที่น่าสนใจ เป็นสถานที่กำเนิดขงจื่อและกวีสำคัญหลายท่าน ปัจจุบันเป็นมณฑลที่ก้าวหน้า และฉันรู้จักคนซานตงหลายคน
2. ความประทับใจที่นครจี่หนานในวันแรกที่มา ตอบว่า บ้านเมืองสะอาด ถนนหนทางกว้างขวางได้มาตรฐาน การต้อนรับที่ดี ได้ไปมหาวิทยาลัยซานตง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานทางวิชาการ ดูสวนน้ำพุ มีการรวบรวมความรู้ต่างๆ ไว้ทั้งจิตรกรรมและประวัติบุคคลสำคัญต่างๆ ของมณฑล ทะเลสาบต้าหมิงหูก็สวยงาม
3. พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร ตอบว่า มหาวิทยาลัยมีการสอนวิชาโบราณคดี อาจารย์และนักศึกษาได้เรียนและสอนภาคทฤษฎีแล้วมีโอกาสได้ไปทำงานภาคปฏิบัติ ไปขุดค้นที่แหล่งโบราณคดี เมื่อขุดแล้วก็ได้นำวัตถุโบราณที่น่าสนใจมาจัดแสดง เขียนคำอธิบาย ค้นคว้าและเขียนบทความวิชาการเผยแพร่ในวงวิชาการ นอกจากนั้น ยังได้ทราบว่ากำลังทำฐานข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ด้วย การศึกษาอย่างเป็นระบบจะเป็นตัวอย่างแก่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ทั้งในและนอกประเทศ
ได้ดูพิพิธภัณฑ์เป็นเวลาสั้นมากเพราะไม่มีเวลา แต่ก็นับว่าได้ประโยชน์ดี เขาสามารถนำสิ่งที่สำคัญเป็นหลักๆ มาไว้ด้วยกัน ใช้เวลาไม่มากก็สามารถเข้าใจวัฒนธรรมของซานตงได้ ฉันชอบห้องที่แสดงสัตว์โบราณเพราะสนใจเรื่องสัตว์โบราณ ไดโนเสาร์ต่างๆ ซึ่งให้ความรู้ด้านธรณีวิทยาด้วย