Please wait...

<< Back

" เจียงหนานแสนงาม วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2542 "

(น. 305) วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2542
เช้านี้วิ่งไปรอบๆ สวน 2 รอบ ใช้เวลา 25 นาที ที่นี่ทิวทัศน์สวยงาม อากาศดี ต้นท้อออกดอกสีชมพูอ่อน ชมพูแก่ ต้นทับทิมเล็กๆ ก็ออกลูก ทางวิ่งมีการเปิดเพลงประกอบ เช่น เพลงสะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นต้น ใกล้ทะเลสาบมีคนแก่มาเดินเล่น น้ำในทะเลสาบยังมีขยะและน้ำเสียอยู่บ้าง เรือนรับรองสร้างอยู่ใกล้ภูเขา ถ้ามีเวลาอีกหน่อยข้าพเจ้าเห็นจะทดลองปีนเขา รับประทานอาหารเช้าแล้วไปทะเลสาบซีหู ทะเลสาบซีหูเดิมชื่อทะเลสาบจินหนิว มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และมีความเกี่ยวข้องกับกวีเอกสองท่านคือ ไป๋จวีอี้ในสมัยราชวงศ์ถังและซูตงปัวในสมัยราชวงศ์ซ่ง ทั้งสองท่านเคยมาเป็นเจ้าเมืองหังโจว ได้ดำเนินการให้สร้างคันดินกั้นน้ำ ทำเป็นเขื่อนในทะเลสาบซีหู ก่อเกิดเป็นถนนที่ร่มรื่นกลางทะเลสาบ เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยวทางเหนือกับทางใต้ของทะเลสาบให้ถึงกัน (ซูตี) และทางตะวันออกกับตะวันตก (ไป๋ตี) เรื่องเขื่อนนี้เขียนตามข้อมูลที่คนจีนบรรยายให้ฟัง มีหนังสือเขียนว่า เขื่อนที่ไป๋จวีอี้สร้างไม่ได้อยู่ที่ซีหู อยู่ที่อื่นในหังโจวและหักพังไปหมดแล้ว ข้อมูลใดถูกผิดตัดสินไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้มาเยือน เขื่อนทั้งสองที่กล่าวมานั้นต่อมาเรียกกันว่า ไป๋ตีหรือเขื่อนไป๋ และซูตีหรือเขื่อนซู เพื่อเป็นที่ระลึกถึงบุคคลทั้งสอง


(น. 306) รูป 211 ภายในเรือ
On board.

(น. 306) นอกจากนั้นยังมีสถานที่สำคัญที่อยู่รอบๆ ทะเลสาบ เช่น เจดีย์ลิ่วเหอ อยู่ริมแม่น้ำเฉียนถัง สุสานเย่ว์เฟย เมื่อ ค.ศ. 1957 มีการปรับปรุงทะเลสาบ ปลูกต้นไม้ เช่น ต้นหลิว ทำสวนไม้ดอกที่จะออกตามฤดูกาล รวมทั้งไม้พันธุ์ดีที่หายาก ทำบ้านพักตากอากาศ มีสวนดอกโบตั๋น สวนปลา ที่ภูเขากูซานซึ่งอยู่ใกล้ๆ มีป่าเหมย กวีเอกไป๋จวีอี้มีความผูกพันกับหังโจวอย่างลึกซึ้ง เขาเขียนบทกวีเกี่ยวกับเมืองนี้มากมาย กวีเอกซูตงปัวมาอยู่เมืองหังโจว 2 ครั้ง เมื่อมาครั้งที่ 2 เห็นทะเลสาบตื้นเขิน มีวัชพืชเต็มไปหมด ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้น้ำได้ เขาจึงสร้างเจดีย์หิน 3 องค์ไว้กลางทะเลสาบ ห้ามปลูกกระจับ เพื่อไม่ให้โคลนลงไปทำให้ทะเลสาบตื้นเขิน

(น. 307) ลงเรือไปเที่ยวทะเลสาบ ที่จริงแล้วข้าพเจ้าไม่เห็นทะเลสาบเท่าไร เพราะจะไปนั่งที่ไหนก็มีคนบังหมด แต่มาดามจัง มาดามเย่ว์ก็เล่าเรื่องทะเลสาบให้ฟัง บอกว่ามีพื้นที่ 5.6 ตารางกิโลเมตร วัดโดยรอบได้ 15 กิโลเมตร พื้นที่สามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา อีกด้านหนึ่งติดตัวเมือง แล้วคุยกันต่อเรื่องนิยายกำลังภายใน หลานของมาดามเย่ว์กำลังฝึกเขียนเรื่องกำลังภายใน ระหว่างเรือแล่นชี้ให้ดูที่ทำการของกรมวิเทศสัมพันธ์ของมณฑล ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ทะเลสาบนี้ เรือผ่านสะพานขาด เป็นสะพานโค้ง มองตอนนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรขาด แต่ในฤดูหนาวหิมะตก ด้านหนึ่งถูกแดด หิมะละลาย ด้านหนึ่งไม่ถูก หิมะปกคลุมอยู่ จึงเห็นอยู่เพียงด้านเดียว ที่สะพานขาดนี้เป็นที่สวี่เซียนพบกับนางพญางูขาว มีผู้สื่อข่าวโทรทัศน์จีนมาสัมภาษณ์เรื่องการมาที่หังโจวและประเทศจีน
ข้าพเจ้ากล่าวว่าหังโจวเป็นเมืองที่ทิวทัศน์งดงาม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและดูแลโบราณสถานได้ดี ประชาชนมีความเป็นอยู่ดี
นักข่าวถามต่อว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจข้าพเจ้าให้มาจีนหลายครั้ง
ข้าพเจ้าตอบว่า จีนและไทยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมายาวนาน จีนเป็นประเทศใหญ่ทั้งด้านพื้นที่ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมทั้งรูปธรรมและนามธรรม วิทยาการความรู้ และเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก ฉะนั้นคนไทยควรจะรู้จักจีน


(น. 308) รูป 212 ให้สัมภาษณ์นักข่าวจีน
Giving an interview to Chinese press.

(น. 308) นักข่าวถามถึงการเขียนหนังสือเกี่ยวกับจีนว่ามีเหตุผลอะไรในการเขียน เพื่อเก็บบันทึกไว้เป็นความทรงจำ หรือว่าเพื่อแนะนำให้ชาวไทยรู้จักประเทศจีนมากขึ้น ข้าพเจ้าว่ามีประโยชน์ทั้ง 2 อย่าง
นักข่าว แล้วมีความคิดอย่างไรในการแนะนำประเทศจีนให้ชาวไทยรู้จัก
ข้าพเจ้า ขณะนี้คนไทยรู้จักจีนมากพอควร นอกจากรู้จักโดยตรงแล้ว ยังอ่านหนังสือและดูภาพยนตร์เกี่ยวกับจีน

(น. 309) นักข่าว คนจีนรู้จักข้าพเจ้าดี ตัวเขาเองตั้งแต่เด็กๆ ก็รู้จัก ได้อ่านหนังสือแก้วจอมแก่น แก้วจอมซน ที่แปลเป็นจีน ทราบมาว่าข้าพเจ้าแปลบทกวีจีน สนใจวรรณคดีจีน ประวัติศาสตร์จีน วัฒนธรรมจีน เป็นเพราะเหตุใด ข้าพเจ้าตอบว่า ชอบเรียนวรรณคดี ไม่ว่าวรรณคดีของชาติใดก็ชอบ บทกวีจีนนั้นสามารถถ่ายทอดทั้งความงามและสติปัญญา ปรัชญาความคิด อันเป็นประสบการณ์อันยาวนานของประชาชาติจีน ส่วนวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของทุกประเทศนั้นเป็นประสบการณ์แห่งชีวิตในทุกด้านของชนชาตินั้น ที่เปรียบเสมือนสายธารอันไหลต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง จากอดีตสู่ปัจจุบันแล้วไปสู่อนาคตต่อเนื่องกันมา ไม่สามารถตัดขาดจากกัน หรือว่าช่วงไหนเรื่องไหนสำคัญหรือดีกว่ากัน เมื่อศึกษาทั้งกระแสทำให้ทราบถึงความเจริญและปัญหาของชนชาตินั้นๆ ได้ทราบว่าเขาสร้างสรรค์พัฒนาและแก้ไขปัญหาอย่างไร เป็นความรู้ที่เราจะนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้ นักข่าว ทำไมจึงสนใจกิมย้ง ข้าพเจ้า คนไทยรู้จักและสนใจงานของกิมย้งมาก เพราะมีการแปลงานของเขาเป็นภาษาไทยตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่เกิด เรื่องราวที่เขาผูกขึ้นสนุกสนาน ทั้งชีวิตของตัวละคร และเรื่องวิทยายุทธ์ต่างๆ รวมทั้งยังเล่าความเป็นไปทางประวัติศาสตร์ อธิบายเรื่องโบราณสถาน แทรกปรัชญาความคิด พุทธศาสนา บทกวี คุณธรรมที่พึงประสงค์ และเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ


(น. 310) รูป 213 เกาะซานถานอิ้นเย่ว์
San tan yin yue Island.

(น. 310) เรือเทียบฝั่งเกาะซานถานอิ้นเย่ว์ หรือเกาะโคมหินสะท้อนเงาจันทร์ เกาะนี้แต่เดิมเรียกกันว่า เกาะเสี่ยวอิ๋งโจว บนเกาะนี้มีทะเลสาบ ในทะเลสาบมีโคมหิน 3 โคม สร้างใน ค.ศ. 1621 สมัยราชวงศ์หมิง ลักษณะคล้ายเจดีย์ มีฐานเสาใต้น้ำ โคมหินสูงเหนือน้ำ 2 เมตรเศษ ใจกลางโคมเป็นโพรงว่าง ส่วนกลางโคมมีลักษณะกลมเหมือนลูกบอล บนพื้นผิวส่วนกลางนี้มีรูทรงกลม 5 รูเว้นระยะระหว่างแต่ละรูเท่ากัน คืนพระจันทร์เต็มดวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูชิวเทียน ชาวบ้านนิยมจุดเทียนใส่ในช่องทั้ง 5 ของโคม แล้วคลุมรูทรงกลมแต่ละรูด้วยกระดาษบาง เมื่อแสงไฟจากเทียนส่องผ่านรูทรงกลมออกไป ก็ปรากฏเป็นภาพสะท้อนบนผิวน้ำเป็นพระจันทร์ดวงเล็กๆ โคมหิน 3 โคมก็จะสะท้อนออกมา 15 ดวง ประชันกับพระจันทร์จริงและเงาจันทร์ ก็จะรวมกันเป็น 17 ดวง

(น. 311) นั่งเรือต่อไปที่สวนท่าดอกไม้ (ฮวากั่ง) สร้างสมัยราชวงศ์ซ่ง มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายอย่าง เช่น สน ท้อ แม็กโนเลีย เมเปิ้ล ตู้จวน มีสระน้ำเป็นที่ชมปลา มีปลามากมาย ผู้คนนิยมซื้อขนมปังเลี้ยงปลา มีศาลา ในศาลามีป้ายหินลายพระหัตถ์จักรพรรดิคังซี มองจากสระเลี้ยงปลาเห็นคันดิน ซึ่งมีความยาว 2.4 กิโลเมตร เดินดูสวน เวลานี้มีการจัดแต่งสวนเป็นพิเศษรับวสันต์เช่นเดียวกับที่อื่นๆ ทำดอกไม้เป็นรูปบอลกลมๆ แผนที่โลก นกยูงยักษ์ และอื่นๆ บริเวณนี้ยังทำเก๋งอยู่ตามที่ต่างๆ เหมาะสมสอดคล้องกับภูมิประเทศ เช่น หอซ่อนเขา นอกจากนั้นมีร้านเล็กๆ ขายของที่ระลึกราคาไม่แพง คนเยอะแยะยุ่บยั่บไปหมดทั้งนักท่องเที่ยวและขบวนเรา ถ่ายรูปก็ไม่ค่อยจะออกมาชัด ที่ถ่ายชัดมีแต่ “ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งเจียงหนาน” ได้แก่ มาดามจัง มาดามเย่ว์ ท่านทูตจังเหลียน และข้าพเจ้า


(น. 311) รูป 214 สวนท่าดอกไม้
Huatan Garden.


รูป 215 สวนท่าดอกไม้
Huatan Garden.

(น. 312) นั่งรถไปเมืองเซ่าซิง ระยะทาง 67 กิโลเมตรจากหังโจวไปทางตะวันออก สุราของเมืองนี้มีชื่อเสียงก้องโลก ผลิตมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 จนถึงปัจจุบัน ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ จักรพรรดิซ่งเกาจงเคยมาประทับที่เมืองนี้ใน ค.ศ. 1130 เป็นเวลา 20 เดือน จึงเป็นเมืองหลวงชั่วคราวในช่วงนั้น เมืองเซ่าซิงเป็นศูนย์กลางของการคมนาคมทางลำคลองในที่ราบเจ้อเจียงตอนเหนือ เสน่ห์ของเช่าซิงก็คือ คลองเล็กๆ และการนั่งเรือลอดสะพานหินโค้ง ในสมัยโบราณประมาณ 770 – 211 ปีก่อนคริสต์กาล เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นเย่ว์ ขณะนี้ยังเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวมาน้อย มาดามจังเป็นคนเซ่าซิง ท่านจึงมากับข้าพเจ้า แต่ให้ข้าพเจ้านั่งรถกับมาดามเย่ว์ รถแล่นไปตามทางหลวงที่เดินทางต่อไปได้ถึงเมืองหนิงโป ผ่านสนามกีฬาที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง หอสมุดเจ้อเจียง ศูนย์การพาณิชย์ ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำเฉียนถัง มีทั้งสะพานรถแล่นและสะพานสำหรับรถไฟ โรงงานผลิตยา ผ่านภูเขาที่มีการระเบิดหินไปขายเซี่ยงไฮ้ แถวๆ เจียงซูไม่มีภูเขาหิน ต้องใช้หินแถวนี้ ในหังโจวและทางไปเซ่าซิงมีบ้านชาวนามากมาย สมัยนี้พวกเกษตรกรร่ำรวย สามารถสร้างบ้านส่วนตัวครอบครัวละหลัง ดูก็แปลกดีคือแบบเหมือนกันหมด เหมือนเป็นบ้านจัดสรร ไม่มีรั้ว ไม่มีบริเวณ มาดามเย่ว์บอกว่า เดี๋ยวนี้ชาวนาแถวนี้รวยมาก เวลาถึงฤดูทำงานไร่นาก็ไปจ้างคนอื่นทำ บ้านของเขาราคาสองแสนหยวน มี 4 ชั้น ทาสีชมพู กระจกหน้าต่างสีฟ้า หลังคาตัด แต่มีเรือนกระจกเล็กๆ ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างคลุมบันไดขึ้นดาดฟ้า บนเรือนเล็กมีหอ

(น. 313) รูปร่างเหมือนกับหอไอเฟลในปารีส ได้ความว่าเป็นเสาโทรทัศน์ครอบครัวหนึ่งๆ มีคนไม่มาก ประมาณ 3 คน พ่อแม่ลูก แต่มีห้องนอนหลายห้อง ห้องน้ำหลายห้อง ห้องรับประทานอาหาร ห้องดูโทรทัศน์ และห้องออกกำลังกาย มาดามเย่ว์บอกว่าคนเจ้อเจียงเงินเดือนมากกว่าคนเจียงซู 600 หยวน เมื่อไปถึงโรงแรมที่สร้างโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่น เป็นโรงแรม 3 ดาว นายกเทศมนตรีเฝิงซุนเฉียวต้อนรับ จากนั้นไปห้องรับรองที่เขาจัดเตรียมให้ ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะลงมารับประทานอาหาร เห็นในห้องมีกล่องไม้ขีดวางไว้ จึงขอเขาเพื่อมาฝากคนรู้จักที่สะสมกล่องไม้ขีด ที่โต๊ะอาหารนายกเทศมนตรีอธิบายถึงเมืองนี้ว่าเป็นเมืองโบราณ มีร่องรอยหลักฐาน ว่าเมื่อ 7,000 ปีมาแล้วมีมนุษย์อาศัยอยู่ และเมื่อ 4,000 กว่าปีก่อน สมัยราชวงศ์เซี่ย กษัตริย์ต้าอวี่ที่คิดระบบชลประทานแก้ปัญหาอุทกภัย มีสุสานฝังที่นี่ เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของแคว้นเย่ว์ในสมัยชุนชิว-จั้นกั๋ว เมื่อ 800 กว่าปีก่อน สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เป็นเมืองหลวงที่ 2 รองจากหังโจว เป็นเมืองที่มีคนมีชื่อเสียงมาก เช่น นักเขียนหลู่ซวิ่น นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล และวีรสตรีชิวจิ่นสมัยปฏิวัติซินไฮ่ ศาสตราจารย์ไช่หยวนเผย อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยปักกิ่งและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คนเซ่าซิงหลายคนไปเป็นที่ปรึกษาให้ขุนนาง ไม่ออกหน้าออกตา แต่เป็นผู้สร้างความสำเร็จให้บุคคลอื่น

(น. 314) สินค้าที่มีชื่อเสียงคือ สุราเหลืองเซ่าซิง ว่ากันว่าที่นี่สมัยก่อนมีอ่างสำคัญสามอ่างคือ อ่างสุรา อ่างย้อมผ้า และอ่างดองผัก สุราที่นี่ได้รับรางวัลเหรียญทอง การย้อมผ้าหรืออุตสาหกรรมสิ่งทอก็พัฒนาได้เร็ว ปัจจุบันทอด้วยเครื่องจักร อ่างที่สามคือการทำผักดองและเต้าหู้ยี้ ไม่สู้มีชื่อเสียงเหมือนสองอ่างแรก อาชีพของชาวเซ่าซิงยังมีการทำนา เลี้ยงกุ้ง และปลูกผักนอกฤดูกาล เมืองเซ่าซิงมีเนื้อที่ 7,900 ตารางกิโลเมตร ประชากร 4.3 ล้านคน มีสถานที่ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง แห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสไปคือ เก๋งหลานถิง ตั้งอยู่ในสวนสวยงามที่มีอายุย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 4 กล่าวกันว่าหวังซีจือ นักเขียนพู่กันมีชื่อ เคยพบปะสังสรรค์กับมิตรสหายที่สวนนี้เมื่อ ค.ศ. 353 แม้ในปัจจุบันยังใช้สถานที่นี้เป็นที่พบปะของนักเขียนพู่กันนานาชาติ เก๋งหลานถิงที่กล่าวถึงนั้นสร้างใหม่เมื่อ ค.ศ. 1548 เป็นเก๋งที่สวย นอกจากนั้นยังมีวังของพระเจ้าโกวเจี้ยน ที่นี่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมก้อนหิน เพราะถนนก็ปูด้วยหิน คนที่ไม่ใช่คอเหล้าเซ่าซิงแท้ๆ ชอบเอาบ๊วยเค็มใส่เหล้า ที่ฮ่องกงก็เลยมีการผลิตเอาใจลูกค้าคือ ใส่บ๊วยลงไปสำเร็จรูป เวลาหน้าหนาวนิยมดื่มเหล้าองุ่น หอมอร่อยดี ทำให้สบายไม่รู้สึกหนาว แพทย์โบราณว่าดีสำหรับกระเพาะอาหาร นายกเทศมนตรียังโฆษณาต่อไปว่าเหล้านี้ดีสำหรับนักปราชญ์ กวี หรือนักเขียนตัวอักษร ต่งเจี้ยนหวา หัวหน้าคณะบริหารของฮ่องกงเป็นคนหนิงโปและชอบเหล้าเซ่าซิงเหมือนกัน

(น. 315) อาหารที่นี่มีอีกหลายอย่าง เช่น ถั่วหมัก แบบที่บ้านเราเรียกว่า ถั่วเน่า เป็ดปักกิ่งและลิ้นเป็ด นายกเทศมนตรีท่านนี้อายุ 43 ปี เพิ่งได้รับเลือกตั้งเมื่อวานนี้ มีเสียงสนับสนุนท่วมท้น ที่ล้อบบี้โรงแรม มีจอคอมพิวเตอร์แบบ touch screen แนะนำเมืองเซ่าซิงและการท่องเที่ยว ไปบ้านเกิดท่านหลู่ซวิ่น (หลู่ซุ่น) ท่านเกิดที่บ้านนี้เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1881 ท่านมีชื่อเดิมว่า โจวซู่เหริน ใช้นามปากกาในการเขียนหนังสือว่า หลู่ซวิ่น แซ่หลู่เป็นแซ่ของมารดา นามปากกา “หลู่ซวิ่น” เป็นที่รู้จักกันดี จนเรียกขานท่านในชื่อนี้ มิได้เรียกชื่อเดิม ท่านอยู่ที่บ้านนี้จนอายุ 18 ปี จึงออกไปเรียนหนังสือ เมื่อกลับมาอยู่เมืองเซ่าซิงอีกก็มาอยู่ที่นี่ บ้านหลังนี้เป็นตัวอย่างของบ้านคนเซ่าซิงที่มีฐานะดีปานกลาง โจวสงจั้น (ค.ศ. 1742 – 1821) ได้ซื้อที่ดินและปลูกบ้านระหว่างรัชสมัยจักรพรรดิเจียชิ่ง (ค.ศ. 1796 – 1820 เมื่อครอบครัวตกอับใน ค.ศ. 1918 คนในตระกูลตกลงขายสวนหลังบ้าน (ไป๋เฉ่าหยวน) และอาคารด้านหลังให้เพื่อนบ้านแซ่จู หลังสมัยปลดปล่อย รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจ่ายงบประมาณเป็นค่าซ่อมแซมบ้านหลังนี้ รวมทั้งขอซื้อคืนเครื่องเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ที่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้มาจัดแสดงเป็นที่ระลึกถึงหลู่ซวิ่น และเป็นที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เมื่อเข้าประตูบ้าน ผ่านลานโล่ง มีเกี้ยวและพายที่ครอบครัวเคยใช้ มีลานโล่งระหว่างอาคาร มีต้นไม้ดอกติงเซียงออกดอกม่วงหรือขาว มีอาคารเสี่ยวเค่อถังที่ครอบครัวใช้เป็นที่รับแขก


(น. 316) รูป 216 ห้องแม่
Bedroom of Luxun's mother.

(น. 316) รับประทานอาหาร และเขียนหนังสือ มีห้องนอนของหลู่ซวิ่นตอนที่เขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง ห้องนอนของคุณแม่ เตียงที่คุณแม่นอน มีรูปถ่ายของคุณแม่แขวนอยู่ คุณแม่เป็นคนฉลาดถึงแม้จะไม่มีโอกาสเข้าโรงเรียนแต่ก็ศึกษาด้วยตนเองจนสามารถอ่านหนังสือ หงโหลวเมิ่ง (ความฝันในหอแดง) ได้ ในห้องนี้มีรูปเขียนน้องชายของหลู่ซวิ่นที่เสียชีวิตเมื่ออายุ 6 ปี ของที่วางในห้องมีเตารีดแบบโบราณ เครื่องมือเย็บผ้า

(น. 317) เดินต่อไปห้องคุณย่า คุณย่าเป็นคนมีความรู้ เก่งในด้านการเล่านิทาน เล่นทายปริศนา หลู่ซวิ่นได้ความรู้จากคุณย่าและได้นำมาใช้ในการเขียนหนังสือ ในห้องมีกระติกน้ำร้อนสำหรับชงชา ส่วนห้องครัวมีเตาใหญ่สามเตา โอ่งใบใหญ่ๆ สำหรับใส่น้ำและดองผัก บนกระเบื้องมีภาพสิริมงคลสำหรับใช้กันผี มีรูปหนังสือ รูปกระบี่ (เขาว่าผีกลัวหนังสือ) รูปกะละมังหมายถึง มีทรัพย์สิน รูปกุ้ง ปลา หมายความว่า เหลือกินเหลือใช้ หลังบ้านมีสวนไป๋เฉ่าหยวน (แปลตามศัพท์ว่า สวนหญ้า 100 ชนิด แต่มีได้มีมากอย่างนั้น ใช้คำว่า ร้อย เพื่อสื่อความว่า มีหญ้านานาชนิด) เป็นสวนครัวของบ้านตระกูลโจว หลังฤดูใบไม้ร่วงใช้เป็นที่ตากข้าว หลู่ซวิ่นตอนเด็กๆ ชอบชวนเพื่อนมาเล่นที่สวนนี้ ในฤดูใบไม้ผลิเล่นว่าว ฤดูร้อนบริเวณนี้มีต้นไม้ก็จะเย็นสบายดีกว่าที่อื่น เด็กๆ ชอบเล่นจับจิ้งหรีด ดูมดแดง เป็นการศึกษาธรรมชาติจากของจริง ฤดูหนาวจับนกที่อยู่ในหิมะ สมัยก่อนว่ากันว่ามีต้นไม้หลายชนิดอยู่ในสวนนี้ มีกำแพงหินเตี้ยๆ ล้อมอยู่ การเล่นของหลู่ซวิ่นมีประโยชน์ต่อชีวิตของเขาเมื่อเป็นนักเขียน เขาชอบสวนนี้มากเมื่อโตขึ้นถูกส่งไปเรียนหนังสือ ต้องอยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด จึงรู้สึกอาลัยสวนนี้มาก

Next >>