Please wait...

<< Back

" มุ่งไกลในรอยทราย วันอังคารที่ 10 เมษายน 2533 "


(น.91) รูป 73. ท่านทูตเตช และท่านทูตสารสิน ซึ่งเป็นทูตสมัยปัจจุบัน ปลอมตัวเป็นราชทูตสมัยราชวงศ์ถัง
His Excellency Tej, the Ambassador of Thailand to the People's Republic of China, and His Excellency Sarasin, the Ambassador of Thailand to the Philippines, disguised themselves as ambassadors in the Tang period.

(น.91) ข้าง ๆ เป็นรูปคณะทูต ดังที่กล่าวแล้วว่าประเทศจีนสมัยราชวงศ์ถังมีความสัมพันธ์กับแคว้นต่าง ๆ กว่า 300 แคว้น ฉะนั้นพอจักรพรรดิถังเกาจงสวรรคต จึงมีผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ประมาณ 60 ประเทศมาร่วมพิธีพระศพ และพระนางอู่เจ๋อเทียนได้สั่งให้แกะหินเอาไว้ บางชาติก็ไม่มีจารึกอะไรไว้ แต่บางชาติมีจารึกชื่อประเทศ เช่น ชาติจากเอเชียกลาง อัฟกานิสถาน เป็นเมืองที่มีการคมนาคมสะดวกที่สุดในสมัยนั้น พุทธศาสนาในจีนอาจจะเข้ามาทางนี้ด้วยทางหนึ่ง ที่อัฟกานิสถานก็มีถ้ำแกะสลักเป็นรูปพระเช่นเดียวกัน เราพยายามดูว่าชนชาติพวกนั้นมีชาติอะไรบ้าง จะดูจากหน้าตาก็ดูไม่ได้เพราะถูกตัดศีรษะไปหมด ก็ไม่ใช่พวกตัดไปขายร้านของเก่าหรอก เล่ากันว่าในสมัยราชวงศ์หมิงหรือชิงก็ไม่ทราบ เกิดภัยแห้งแล้งชาวบ้านไม่


(น.92) รูป 74. จดบทกวีจากศิลาจารึก เนื้อหาสรรเสริญพระนางอู่เจ๋อเทียน
Copying a poem from an inscription eulogizing the Empress Wu.

(น.92) ทราบว่าจะกล่าวหาใคร ก็เข้าเรื่องที่ว่า “มนุษย์ขี้เหม็น เคี่ยวเข็ญเทวดาฝนตกก็แช่งฝนแล้งก็ด่า” เลยโทษว่าท่านทูตเหล่านี้เป็นต้นเหตุ กินอาหารมากเกินไปไม่ตกถึงชาวบ้าน เลยตัดหัวหมด ป้าจันเลยบอกให้ท่านทูตของเราที่มีอยู่ 2 คน คือท่านทูตเตชกับท่านทูตสารสิน ไปยืนต่อหัวให้ อาจารย์

(น.93) หวางแนะนำให้ดูจารึกสรรเสริญพระนางอู่เจ๋อเทียน และถังเกาจง เรื่องพระนางอู่เจ๋อเทียนนี้มีทั้งคนรักมากเกลียดมาก คนบางคนเขาบอกว่าพระนางทำประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายอย่าง แต่ก็เสียตรงที่มีความรุนแรงในการกำจัดผู้ที่ขัดแย้ง จารึกสรรเสริญหลักนี้ผู้เขียนคือจักรพรรดิถังจงจงลูกชาย จารึกอีกหลักหนึ่งไม่ได้สลักอักษร มีแต่ภาพลายเส้นรูปมังกรและม้า มีความหมายว่าอำนาจของจักรพรรดิ มีพระบรมเดชานุภาพเกินกว่าจะสรรหาคำมากล่าวอ้าง พอเดินเข้าไปใกล้จริง ๆ ก็เห็นมีตัวอักษรจารึกอยู่เต็ม เป็นลักษณะการจารึกอย่างดี ๆ ไม่ใช่ฝีมือคนมือบอนเขียนชื่อตัวเองไว้ตามก้อนหินที่ต่าง ๆ เรียกใคร ๆ (พวกจีน) มาถาม เลยได้ทราบว่าเป็นคนประมาณราชวงศ์ซ่งมาสลักไว้ มีบทกวีบทหนึ่งมีความว่า

ต้นสนก็ถูกเผาไฟไป
ทั้งภูเขามีแต่หญ้า วัว และแพะ
มีแต่คนอำเภอเฉียนที่ระลึกถึงความดีพระนางอู่เจ๋อเทียน
ทุก ๆ ปีก็ต้องเอาของมาถวาย
จากเฉียนหลิงไปดูสุสานอีกแห่งคือ สุสานของเจ้าชายจางไหว ก็คล้าย ๆ กับของเจ้าหญิงหย่งไท่นั่นเอง เจ้าชายเป็นลูกคนที่สองของอู่เจ๋อเทียนแต่ขัดคำสั่งพระนาง (แต่แรกก็เป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น ตอนหลังเผลอเขียนว่าแม่ตัวเองรวบอำนาจ) จึงถูกเนรเทศไปอยู่เสฉวน และส่งคนไปตามฆ่า เมื่อน้องชายได้ขึ้นครองราชย์สมบัติจึงนำพระศพมาเฉลิมพระนาม และสร้างสุสาน (พระนางอู่เจ๋อเทียนมีลูกชาย 4 คน ฆ่าเสีย 2 คน) ภาพผนังในสุสานมีเรื่องการรับแขกต่างประเทศ มีคนทิเบต คนเกาชางมาจากทู่หลู่ฟัน


(น.94) รูป 75. สุสานเจ้าชายจางไหว พระโอรสพระนางอู่เจ๋อเทียน ซึ่งถูกพระนางประหาร
Prince Jangwai's tomb, a son of the Empress Wu, who was killed by his mother, the Empress.

(น.94) ที่ห้องไว้โลงศพก็มีภาพพระจันทร์ มีกระต่ายตำยา ตามนิทานพื้นบ้าน แต่ที่นี่ไม่มีทางช้างเผือก
ภาพวาดชีวิตความเป็นอยู่สมัยถังในสวน เขาให้สังเกตคนว่าต้นราชวงศ์ถังคนจะผอม ส่วนถังตอนกลางที่รุ่งเรืองที่สุดนั้นคนจะอ้วน ในเมื่ออ้วน ๆ

(น.95) กันทั้งนั้น ความงามในอุดมคติก็เลยต้องเป็นความงามอย่างอ้วน ๆ เรียกว่าสวยท้วมคงจะดีกว่า อีกอย่างหนึ่งเล่ากันว่านางหยางกุ้ยเฟย พระสนมคนโปรดของพระเจ้าถังเสวียนจงเป็นคนท้วม (หรือจะอ้วนเลยก็ไม่ทราบ) จึงทรงกำหนดว่าภาพเขียนทุก ๆ ภาพต้องอ้วน ข้อนี้เรียกว่าเป็นพระราชนิยม ภาพส่วนมากเป็นภาพที่วาดขึ้นใหม่ แต่ที่เป็นของเดิมก็มีบ้าง ต้องขมวดคิ้วดูจึงจะเห็นเพราะสีจางมาก สมัยนั้นเขียนภาพได้สวยมาก เส้นลายมีกำลัง ส่วนที่เส้นละเอียดก็เขียนได้ประณีต แสดงความรู้สึก ตาคนก็ยังเขียนมีแววตา ถึงเวลารับประทานข้าวกลางวันซึ่งก็เลยเวลามาตั้งนานแล้ว อาหารก็อร่อยดี มีหลายอย่าง เป็นของคาวของหวานสลับกัน บางทีก็ดูไม่ออกว่าอะไรคาวอะไรหวาน บางทีก็เอาของหวาน (ขนมทองพลุ) ไปจิ้มน้ำพริก แต่แรกเกือบจะเอาน้ำพริกใส่เข้าไปในเห็ดหูหนูต้มน้ำตาล แต่เอะใจ ชิมดูก่อนเลยรู้ว่าเป็นของหวานไม่ควรใส่น้ำพริก แต่ของที่ไม่น่าจะใส่น้ำพริกแล้วใส่ก็มีเช่น เต้าฮวย บ้านเรามีแต่เต้าฮวยใส่น้ำขิง น้ำตาลทรายแดง เขามีเต้าฮวยแช่น้ำพริกเค็ม ๆ มีถั่วลิสง ผักต่าง ๆ รากบัวต้ม โรตีทอดน้ำมันยัดไส้ (ล่อปี) ขนมปังชนิดเก็บได้นาน เป็นของคนภาคตะวันตก แข็งโป๊ก เขาบอกว่าทำเลี้ยงเราเขาทำอันเล็กหน่อย (ทำนองว่าเป็นตำรับชาววัง?) ของจริงนั้นอันโตและแข็งกว่านี้ ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อไปอิหร่าน เขาขุดเตาในดินและอบขนมปังนี้ สุดท้ายมีแอปเปิ้ล นั่งคุยกันก็สนุกดี ได้ทราบว่าเส้นทางที่อาจจะเรียกเส้นทางแพรไหม (แต่ยังไม่เข้าระบบ) คือเส้นที่ลงจากซีอานมาทางมณฑลยูนนาน มีเมืองราชวงศ์ฮั่นที่เรียกว่าเมืองหยงช่าง ปัจจุบันชื่อเป่าสี

(น.96) รองผู้ว่าจบมหาวิทยาลัยซานตง (บ้านเกิดขงจื้อ) ซึ่งมีชื่อมากทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี รองอธิบดีหันจบมหาวิทยาลัยฟูตั้น เซี่ยงไฮ้ ศาสตราจารย์หวางจบมหาวิทยาลัยปักกิ่ง นอกจากจะเป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยส่านซีอีกด้วย ทั้ง 3 คนจบมาทางประวัติศาสตร์ เมื่อรับประทานอาหารแล้วเข้าไปดูในร้านขายของที่ระลึกครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าซื้อ Rubbing จารึกบทกวีโบราณมา 2 แผ่น แล้วเดินทางย้อนกลับทางเก่าเพื่อไปเม่าหลิง ซึ่งเป็นสุสานในสมัยราชวงศ์ฮั่น คุณหันเล่าเรื่องสุสานเม่าหลิงให้ฟังว่ามีลักษณะคล้าย ๆ กับพีระมิดของอียิปต์ สูงถึง 40 เมตร สุสานนี้ถูกขโมยหลายครั้ง ทางราชการจึงยังไม่ได้ขุดค้น ใกล้ ๆ สุสานของจักรพรรดิมีสุสานของหัวชู่ปิ้ง ซึ่งเป็นนายพลหนุ่มสู้รบกับพวกชนกลุ่มน้อยฉยุงหนู (ที่ฝรั่งเรียกว่า Hun) ในมณฑลกานซู ได้ชัยชนะหลายครั้ง เป็นผลให้สามารถดำเนินการค้าในเส้นทางค้าแพรไหมได้สะดวก อิทธิพลของราชวงศ์ฮั่นจึงแผ่ขยายไปได้ถึงมณฑลซินเกียง หัวชู่ปิ้งเป็นเจ้าของวาทะที่ว่า ถ้ายังปราบฉยุงหนูไม่ได้จะคิดถึงบ้านเรือนได้อย่างไร หัวชู่ปิ้งเป็นคนกล่าวอย่างนี้เป็นคนแรก นายพลยุคหลัง ๆ ก็ชอบนำคำพูดนี้มากล่าวเลียนแบบ หัวชู่ปิ้ง (ป่วยตายเอง) เมื่ออายุเพียง 24 ปี จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้เสียพระทัยมากจึงทรงสร้างสุสานมโหฬารให้เขา บนยอดสุสานทำรูปภูเขาฉีเหลียนซึ่งเป็นสถานที่ที่หัวชู่ปิ้งรบได้ชัยชนะหลายครั้ง เอาหินมาแกะสลัก โดยเลือกเอาหินที่มีรูปร่างต่าง ๆ มาตัด และแกะให้เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ให้มีชีวิตชีวา ก้อนหินแกะสลักที่มีชื่อเสียงที่สุดคือรูปม้าเหยียบฉยุงหนู แล้วคุณหันก็เล่าเรื่องทู่หลู่ฟัน เรื่องซินเกียงอะไรอีกเยอะแยะ จนไปถึงสุสานเม่าหลิงเห็นคนกำลังปีนอยู่หลายคน แต่เราไม่ได้ไปที่สุสาน เลยไปที่พิพิธภัณฑ์ ผู้อำนวยการมาต้อนรับพาไปนั่งอธิบายที่ในห้องรับแขกตามเคย คราวนี้ไม่ค่อยมี

(น.97) ปัญหานักเพราะสำเนียงของเขาเข้าใจได้ง่าย เขาเล่าว่าฮั่นอู่ตี้เป็นจักรพรรดิรัชกาลที่ 5 ของซีฮั่น (ฮั่นตะวันตก) สร้างสุสานใหญ่ที่สุด ขึ้นครองราชย์ 140 ปีก่อนคริสต์กาล พระชนม์ 16 พรรษา เมื่อครองราชย์ได้ 2 ปีก็เริ่มสร้างสุสาน สร้างอยู่ 50 กว่าปี ใช้ภาษี 1 ใน 3 ของประเทศสร้างสุสานตัวเอง ตามบันทึกประวัติศาสตร์ เก็บของล้ำค่ามหาศาลไว้ในสุสาน เช่น เครื่องเงิน ทอง ตุ๊กตา ของถวายจากต่างประเทศ รอบ ๆ สุสานนี้ยังมีสุสานเล็ก ๆ ของนายทหาร เช่น เว่ยชิง หัวชู่ปิ้ง หัวกวง (เสนาบดี) พระมเหสี ฯลฯ ปี 139 ก่อนคริสต์กาลไปตั้งเมืองใหญ่อยู่ที่อำเภอเม่าหลิง มีคนไปอยู่ 61,870 ครอบครัว คน 270,000 คน การสร้างสุสานใช้วัสดุก่อสร้างมากมาย สำหรับสุสานหัวชู่ปิ้งได้พบหินสลัก 16 ชิ้น หินที่พบนั้นตรงกับที่หนังสือประวัติศาสตร์โบราณบรรยายไว้ มีของที่ชาวนาพบโดยบังเอิญ 3,000 กว่าชิ้น ทางพิพิธภัณฑ์ได้เลือกมาแสดง 126 ชิ้น หลังจากนั้นเดินดูก้อนหินสลักเป็นรูปต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ รูปม้าเหยียบฉยุงหนู ทหารฉยุงหนูคนนั้นถือธนูไม่ใส่รองเท้า ม้านั้นเป็นม้าอูซุน (อีลี่) รูปม้าหอบ เสือแสดงกล้ามเนื้อแข็งแรงพร้อมที่จะจับเหยื่อ คางคก กบ ปลา คนกับหมีสู้กัน อาจารย์หวางบอกว่าการสู้กับหมีนั้น ไม่ใช่ธรรมเนียมของคนจีนซึ่งเป็นเกษตรกร น่าจะเป็นประเพณีของพวกที่ล่าสัตว์เร่ร่อนอย่างพวกฉยุงหนูมากกว่า รูปม้าวิ่งข้ามเครื่องกีดขวาง วัว ช้าง หมูป่า รูปพวกนี้บางรูปถ้าไม่มีใครบอกก็ไม่สังเกตว่าเป็นภาพสลักนึกว่าเป็นหินธรรมชาติเฉย ๆ บางรูปเขาก็บอกว่าน่าจะเป็นศิลปะฉยุงหนูมากกว่าศิลปะจีน


(น.98) รูป 76. บริเวณสุสานมีหินสลักรูปต่าง ๆ รูปหินสลักเหล่านี้สลักอย่างหยาบ ๆ แต่ก็มองเห็นเป็นรูปร่าง
In the ground there were numerous stone sculptures done rather crudely, yet identifiable.

(น.98) เราเข้าไปดูของในพิพิธภัณฑ์ ดูโบราณวัตถุที่เขาเลือกมาแสดง เช่น หัวธนูสำริดชุบทอง ธนูจำลอง กาน้ำสำริด ดาบเหล็ก เครื่องประดับชุบทอง ครก (โกร่งบดยา) รูปเต่าทำด้วยสำริดเอาเปลือกหอยใส่ข้างใน ไม่ทราบเอาไว้ทำอะไร หม้อน้ำ มีตัวหนังสือบอกน้ำหนัก พบในสุสานของพี่สาวพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ รูปแรด 2 นอ มีลายสลักฝังเส้นทองเส้นเงิน เป็นกาใส่เหล้า กระจกโลหะ นาฬิกามีขีดบอกเวลา หม้อน้ำแบน ๆ สำหรับแขวนข้างม้า


(น.99) รูป 77. ภายในพิพิธภัณฑ์มีของที่น่าสนใจหลายอย่างที่แสดงถึงชีวิตในสมัยราชวงศ์ฮั่น เช่น อาวุธ ของใช้ในบ้าน เครื่องประดับ
In the museum, several finds such as weapons, utensils and jewellery etc., reveal the daily life in Han's times.

(น.99) กระถางธูปชุบทองทำเป็นรูปไม้ไผ่ ด้านบนมีมังกร 3 ตัว จารึกบอกศักราชที่สร้าง น้ำหนัก (ฝีมือละเอียดมาก วางไว้ให้เห็นเด่น คงจะถือเป็นของชิ้นเอกของพิพิธภัณฑ์) เป็นของได้จากสุสานพี่สาวพระเจ้าฮั่นอู่ตี้เช่นเดียวกัน เตาสำหรับทำความอบอุ่นในห้อง เตาชุบทองสำหรับทำความอบอุ่นมือ ถ้วยเหล้า เครื่องอุ่นเหล้า เครื่องนึ่งข้าว ทัพพี ม้าชุบทอง ชาวบ้านพบเมื่อเดือนพฤษภาคม 1981 ขณะกำลังไถนา เขาว่าม้าชนิดนี้แหละที่เรียกว่าม้า


(น.100) รูป 78. ม้าชุบทอง หล่อขึ้นมาอย่างสวยงามมาก รูปร่างถูกต้องตามหลักกายวิภาค
Gilded Horse, beautifully fashioned with accurate anatomy details.

(น.100) เหงื่อเลือด (ฮั่นเสว่) หัวมีลักษณะคล้ายไม้ไผ่กล้ามเนื้อขาแข็งแรง สัตว์ต่าง ๆ ทำด้วยดินเผาเคลือบมี หมา ไก่ หมูป่า เป็ด กระเบื้องมุงหลังคา เสือทำด้วยอิฐ หอกสำหรับแขวนห่วงหน้าประตู สัตว์ประจำทิศต่าง ๆ ข้าพเจ้าจดจากคำอธิบายที่เขาเขียนไว้ว่า
Blue Dragon (มังกรน้ำเงิน) ทิศตะวันออก
White Tiger (เสือขาว) ทิศตะวันตก
Scarlet Bird (นกกระจอกเทศสีแดง) ทิศใต้
Black Tortoise (ตัวนี้ประหลายหน่อย เป็นเต่าปนงู) ประจำทิศเหนือ
ท่อน้ำประปาสมัยโบราณไว้สำหรับต่อน้ำเข้านาขั้นบันได มีที่สำหรับต่อได้ รูปบุคคลชายเปลือย ตุ๊กตาคนรับใช้ในสุสาน ข้าพเจ้าดูจบแค่นี้ จริง ๆ แล้วท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าข้าพเจ้าควรเลิกเขียนเสียนานแล้ว เขียนรายการสิ่งของอยู่ได้ อย่างกับใครมาจ้างให้ทำ


(น.101) รูป 79. สุสานหัวชู่ปิ้ง ขุนพลสมัยราชวงศ์ฮั่น ถ้าขึ้นไปข้างบนจะมองลงมาเห็นทิวทัศน์สวยงาม แต่ข้าพเจ้าไม่มีแรงปีนขึ้นไป
Hua Quping's tomb. He was a general in the Han period. One has to climb up to get a good view from a top of the tomb, but for want of strength I did not make the attempt.

(น.102) ทะเบียน จริง ๆ แล้วบันทึกเอาไว้สำหรับเตือนตัวเองว่าได้ดูอะไรไปแล้วบ้าง สมมุติว่าคราวหน้าเกิดได้กลับมาอีก (ใครจะไปทราบได้) จะได้รู้สภาพว่าแต่ก่อนเป็นอย่างไร วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหมดแรง อ่อนเพลีย ผู้อำนวยการแนะว่าอยากขึ้นไปชมวิวบนยอดสุสานหัวชู่ปิ้งไหม ข้าพเจ้ารีบบอกว่าไม่มีเวลา กลับโรงแรมพักผ่อน ทุ่มสิบห้านาทีจึงไปที่โรงละคร โรงละครนี้ได้ทราบว่าทางรัฐบาลจีนร่วมทุนกับฮ่องกง คืนนี้เขามีการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์แบบราชวงศ์ถัง พร้อมกับการเลี้ยงอาหารค่ำ เมื่อเราไปถึงเห็นมีฝรั่ง (ทัวร์) ส่วนมากอยู่ในวัยชรานั่งรับประทานอาหารอยู่อย่างเงียบ ๆ มีดนตรีจีนบรรเลงเบา ๆ พอขบวน ไทย-จีน ของเรามาถึงก็บ่อนแตก เสียงจ้อกแจ้กดังลั่นทั้งไทยและจีนส่งภาษากันหลายอย่างไทย ๆ จีน ๆ ปนกัน ข้าพเจ้ากำลังพยายามซ้อมพูดภาษาจีน ครั้นจะพูดจีนหมดก็พูดไม่เป็นต้องพูดไทยปน ได้ความว่าโต๊ะโน้นแถมภาษาอังกฤษด้วยอีกอย่าง เพราะหนูกิ่งของข้าพเจ้ากับเปียนเหมย ผู้รักษาความปลอดภัย (ของข้าพเจ้าเหมือนกัน) ซ้อมภาษาอังกฤษกัน กิ่งแนะนำตัวว่า My name is กิ่ง means a branch of a tree เปียนเหมยก็เลยว่าตัวเองชื่อเหมย (Mei) แปลว่า plum (บ๊วย?) เป็นอันว่าชื่อต้นไม้กิ่งไม้ด้วยกันจึงเป็นเพื่อนกันได้ ชักชวนกันเที่ยวเมืองจีน หนูดอกบ๊วยบอกว่ามาเมื่อไรจะต้อนรับอย่างดี หนูกิ่งเลยบอกว่าถ้ามาก็จะอยู่บ้านเธอนั่นแหละ แล้วชวนกันว่าจะเป็น pen friend กัน บทสนทนานี้ต่อไปว่าอย่างไรไม่ทราบ เพราะที่จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้ยิน อึ่งมาเล่าให้ฟังอีกต่อ ก่อนข้าพเจ้าจะเล่าถึงบทสนทนาโต๊ะข้าพเจ้า จะขอเล่าเรื่องอาหารและการแสดงเสียก่อน ดูเหมือนว่ารายการนี้จะจัดสำหรับทัวร์โดยเฉพาะ

Next >>