Please wait...

<< Back

มุ่งไกลในรอยทราย ภาคผนวก

พระราชดำรัส
(น.339)
พระราชดำรัส
ในวโรกาสที่ ฯพณฯ อู๋เซียะเฉียน รองนายกรัฐมนตรี
จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย ณ อาคารรับรองเตี้ยวหยูวไถ
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พุทธศักราช 2533


ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี และผู้มีเกียรติทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขอขอบคุณ ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่ง ที่จัดงานเลี้ยงให้เป็นเกียรติในค่ำวันนี้ คำกล่าวต้องรับของ ฯพณฯ รวมทั้งความเป็นมิตรไมตรีจากใจจริง ที่ทุกฝ่ายทุกคนแสดงต่อข้าพเจ้าตั้งแต่เดินทางมาถึงแผ่นดินใหญ่นี้ ประทับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก.
ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติและยินดีมา ที่ได้รับเชิญให้มาเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสไปทัศนศึกษา “ทางสายแพรไหม”
อันเป็นเส้นทางคมนาคมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการติดต่อสัมพันธ์ และการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจการค้าตลอดจนวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกและเอเชียใต้ในสมัยโบราณ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าการมาเยือนครั้งนี้จะช่วยให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของจีน เพิ่มพูนลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าที่ได้มาทัศนศึกษา ณ ประเทศนี้เมื่อเก้าปีที่แล้วอีกมาก และตั้งใจไว้ว่าจะนำประสบการณ์ครั้งนี้ไปเผยแผ่แก่ประชาชนชาวไทยผู้สนใจต่อไป.
ในการมาเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อครั้งที่แล้ว ข้าพเจ้าเคยได้กล่าวถึงภาษิตสำคัญของจีนข้อหนึ่งว่า “เหย่นชิงปู้ หรูจิ้นหลิง – เพื่อนบ้านที่อยู่ไกล้เคียงย่อมมีความสำคัญกว่าญาติที่อยู่ห่างไกล” กาลเวลาที่ผ่านไปพิสูจน์ให้เห็นชัดว่าภาษิตนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง เพราะนับวันความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับไทยซึ่งเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง มีแต่ –

(น.340) พัฒนากระชับแน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความสนิทสนมปรองดอง และความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ข้าพเจ้าจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการมีโอกาสมาเยือนแผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่งนี้จะมีส่วนส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมัครสมานระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทยให้ยิ่งเจริญไพบูลย์ขึ้น.
ข้าพเจ้าขอขอบคุณรัฐบาลและประชาชนจีนในความเอื้ออารีและไมตรีจิตที่ได้จัดต้อนรับคณะของข้าพเจ้าอย่างดีเป็นพิเศษ ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ดื่มอวยพรเพื่อสุขภาพและความสำเร็จ
ฯพณฯ อู๋เซียะเฉียน รองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อความเจริญผาสุกของประชาชนจีนและเพื่อความสถาพรราบรื่นแห่งมิตรภาพระหว่างประเทศของเราทั้งสอง.

(น.341)
พระราชดำรัสตอบ
นายซุนต๋าเหริน รองผู้ว่าราชการมณฑลส่านซี
ในวโรกาสที่จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย ณ นครซีอาน
วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พุทธศักราช 2533


ท่านรองผู้ว่าราชการมณฑลส่านซี และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มาเยือนนครซีอานอีกวาระหนึ่ง ขอขอบคุณท่านรองผู้ว่าราชการมณฑลส่านซี และท่านนายกเทศมนตรีนครซีอานเป็นอันมาก ที่จัดงานเลี้ยงให้เป็นเกียรติในค่ำวันนี้ อัธยาศัยไมตรีและการต้อนรับอันอบอุ่น ที่ไม่ต่างกับคราวที่ข้าพเจ้ามาถึงนครนี้เมื่อเก้าปีก่อน ทำให้รู้สึกซาบซึ้งและประทับใจยิ่งนัก แม้ว่าจะมานครซีอานเป็นครั้งที่สองแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจใคร่ชมอยู่ เพราะนครซีอานนี้เป็นแหล่งความเจริญมากว่าพันปี คือเคยได้เป็นนครหลวงของจีนเป็นเวลายาวนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของ “ทางสายแพรไหม” ที่เชื่อมจีนกับเอเชียกลาง เอเชียใต้ รวมทั้งประเทศข้างตะวันตก ซึ่งทำให้ได้เป็นศูนย์กลางการเมือง การค้า และเป็นแหล่งเผยแพร่วัฒนธรรมจีนออกไปทั่วทิศ พร้อมกันนั้นก็รับศิลปวิทยาการ และความเจริญจากต่างชาติเข้ามาสู่ภายในประเทศด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือได้รับพระพุทธศาสนาเข้ามาประดิษฐาน เป็นเหตุให้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับทั้งศิลปกรรมทางศาสนาแพร่หลายไปทั่วแผ่นดินจีน และผสมผสานกับปรัชญา ความเชื่อถือ และศิลปกรรรมของจีนอย่างกลมกลืนในภาคต่อมา ยังผลให้เกิดแบบอย่างศิลปวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะประจำชาติขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของชาวโลกทั้งมวลด้วย.

(น.342) การเดินทางตามเส้นทางประวัติศาสตร์ของข้าพเจ้าเริ่มต้นแล้วในวันนี้ด้วยความมั่นใจว่าในอีกสิบวันข้างหน้า ข้าพเจ้าจะมีโอกาสได้ศึกษาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ กับทั้งศิลปวัฒนธรรมของจีนเพิ่มขึ้นมากมายหลายแง่มุม ซึ่งข้าพเจ้าคงจะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าต่อไปได้อย่างกว้างขวาง. ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายดื่มอำนวยพร เพื่อความสุขสวัสดีของท่านรองผู้ว่าราชการมณฑลส่านซี และท่านนายกเทศมนตรีนครซีอาน ทั้งเพื่อมิตรภาพอันสถาพรแน่นแฟ้นระหว่างประเทศและประชาชนของเรา.

(น.343)
พระราชดำรัส
ในวโรกาสที่ นายเจี่ยจึ้อเจี๋ย ผู้ว่าราชการมณฑลกานซู
จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย ณ นครหลานโจว
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พุทธศักราช 2533


ท่านผู้ว่าราชการมณฑลกานซู และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ข้าพเจ้ามีความชื่นชมและประทับใจอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนนครหลานโจวและได้รับการต้อนรับที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิตจากชาวหลานโจว แม้จะมาเยือนเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าก็รู้สึกคุ้นกับนครนี้ เ พราะได้ทราบชื่อเสียงกิตติศัพท์มาก่อนเป็นอย่างดี ว่านอกจากหลานโจวจะเป็นเมืองหลวงของมณฑลกานซูแล้ว ในอดีตยังเป็นแหล่งความเจริญเก่าแก่ มีประวัติเล่าขานยาวนานมากว่าสองพันปี ทั้งเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในทางสายแพรไหม ที่มุ่งไปสู่เมืองตุนหวง.
ข้าพเจ้ายินดีด้วยเป็นอันมาก ที่ผลปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลมณฑลกานซู ทำให้นครหลานโจวมีความเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับมาทุก ๆ ด้าน เฉพาะอย่างยิ่งด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เครื่องหนัง และผ้าขนสัตว์ นอกจากนั้นยังเป็นเมืองที่ตั้งของสถานีวิจัยพลังงานปรมาณูที่สำคัญของประเทศด้วย ข้าพเจ้าจึงรู้สึกมั่นใจว่าความรู้ความสามารถของผู้บริหารแต่ละท่าน ณ ที่นี้ ประกอบกับความร่วมมือร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวมณฑลกานซู จะทำให้หลานโจวและมณฑลกานซูเจริญรุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง.
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ขอบคุณท่านผู้ว่าราชการมณฑลกานซู และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทุกคน ที่ช่วยให้คณะของข้าพเจ้าได้รับประโยชน์มากมาย – (น.344) จากการเยี่ยมชมและศึกษาสถานที่สำคัญของนครหลานโจวในครั้งนี้ และขอถือโอกาสนี้เชิญชวนท่านผู้มีเกียรติดื่มอวยพรเพื่อสุขภาพและความสำเร็จของท่านผู้ว่าราชการมณฑลกานซู และมวลมิตรชาวจีน ขอให้สัมพันธไมตรีและความเข้าใจอันดีระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทยมั่นคงยืนยาวตลอดสืบไป.

(น.345)
พระราชดำรัส
ในวโรกาสที่ นายเจินเจิ้งซิง รองนายกเทศมนตรีเมืองเจียยู่กวน
จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย ณ โรงแรมฉางเฉิง เมืองเจียยู่กวน
วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พุทธศักราช 2533


ท่านรองนายกเทศมนตรีเมืองเจียยู่กวน และท่านผู้มีเกียรติ
ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านรองนายกเทศมนตรีและคณะ ที่ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่งที่สนามบิน อีกทั้งจัดงานเลี้ยงต้อนรับข้าพเจ้าและคณะในค่ำวันนี้ การที่ข้าพเจ้ามาประเทศจีนครั้งนี้ก็เพราะอยากจะศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเป็นไปในปัจจุบัน รวมทั้งสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศจีนให้มีความรู้มากขึ้น จากการที่ได้อ่านหนังสือค้นคว้าและมีผู้แนะนำ ก็คิดว่าเมืองเจียยู่กวนมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าศึกษาประการสำคัญคือ เรื่องราวของเส้นทางการค้าแพรไหม และจะได้ดูกำแพงเมืองจีนซึ่งแต่ก่อนนี้เคยดูที่ปักกิ่ง ครั้งนี้จะได้เห็นปลายทางของกำแพงเมืองจีน และสถานที่สำคัญอื่น ๆ ด้วย.
ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมชมเมืองเจียยู่กวน ซึ่งในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมเป็นอันมาก วันนี้ที่ประเทศไทยตรงกับเทศกาลสงกรานต์อันคนไทยถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ด้วย คนอื่น ๆ ต่างก็ฉลองเทศกาลสงกรานต์กันอยู่ที่บ้าน มีการอวยพรรดน้ำสาดน้ำให้แก่กันตามประเพณี ซึ่งเหมาะกับเมืองไทยที่มีอากาศร้อนมาก แต่ข้าพเจ้ากลับได้มาฉลองเทศกาลสงกรานต์ถึงเมืองเจียยู่กวน จึงใคร่ขอถือโอกาสนี้อวยพรให้ท่านรองนายกเทศมนตรีและทุก ๆ ท่านในที่นี้มีความสุข สบายกาย สบายใจ และขอให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย เทศบาลเมืองเจียยู่กวน และประเทศจีนยั่งยืนตลอดไป.

(น.346)
พระราชดำรัสตอบ
นายกเทศมนตรีเมืองตุนหวง
ในวโรกาสที่จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย ณ เมืองตุนหวง
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พุทธศักราช 2533


ท่านนายกเทศมนตรีเมืองตุนหวง และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนเมืองตุนหวง ดินแดนที่มีประวัติความเจริญรุ่งเรืองมานานกว่าสองพันปี ขอขอบใจท่านนายกเทศมนตรีเมืองตุนหวง ที่จัดการต้อนรับและจัดกำหนดการทุกอย่างให้อย่างดีเลิศ ทั้งยังเลี้ยงอาหารค่ำให้เป็นเกียรติในวาระนี้ด้วย นับเป็นโชคดีของข้าพเจ้า ที่มีโอกาสได้กลับมาเยือนประเทศจีนอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้จะได้เดินทางตามรอยอารยธรรมโบราณโดยเส้นทางแพรไหม เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ความรุ่งเรือง ตลอดจนวิทยาการและศิลปวัฒนธรรมที่ปรากฏหลักฐานอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ในเส้นทางนี้ โดยเฉพาะเมืองตุนหวงนี้เป็นจุดเชื่อมสำคัญระหว่างภาคตะวันออกกับภาคตะวันตก จึงปรากฏหลักฐานศิลปวัฒนธรรมทั้งของชาวเอเชียและชนชาติตะวันตกอยู่มากมาย ทำให้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับผู้สนใจศึกษาศิลปวิทยาการเกี่ยวกับศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี รวมทั้งเศรษฐกิจ การทหาร และความสัมพันธ์ของจีนกับต่างประเทศในสมัยโบราณ ข้าพเจ้าจึงถือว่าได้รับประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้มาเยือนตุนหวง. ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านทั้งหลายดื่มเพื่อสุขภาพของท่านนายกเทศมนตรีเมืองตุนหวง เพื่อความเจริญผาสุกของมวลมิตรชาวจีนและเพื่อสัมพันธภาพอันราบรื่นสถานพรระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทย.

(น.347)
พระราชดำรัสตอบ
ประธานเขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์
ในวโรกาสที่จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย ณ นครอูหลู่มู่ฉี
วันอังคารที่ 17 เมษายน พุทธศักราช 2533


ท่านประธานเขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์ และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มาเยืยนนครอูหลู่มู่ฉี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์ ขอบใจท่านทั้งหลายเป็นที่สุด ที่เป็นธุระให้การสำรวจศึกษาเส้นทางสายแพรไหมของข้าพเจ้ากับคณะสำเร็จผลด้วยดี ทั้งยังได้ต้อนรับด้วยความเป็นมิตรไมตรีเป็นที่ประทับใจ. การศึกษาเส้นทางสายแพรไหมครั้งนี้ แม้ด้วยเวลาน้อยก็ช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้และประโยชน์จากสิ่งที่ได้พบเห็นเป็นอันมาก นครอูหลู่มู่ฉี นอกจากจะเป็นเมืองที่มีทิวทัศน์งดงามสมชื่อแล้ว ยังเป็นเมืองที่พักสำคัญของคนต่างชาติต่างภาษา ที่สัญจรไปมาโดยทางสายแพรไหม ในอดีตกาลและเป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการคมนาคมของเขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์ในปัจจุบันนี้ด้วย ดังนั้นอูหลู่มู่ฉีจึงมีทั้งความเจริญทันสมัย และความเจริญดั้งเดิมที่เป็นมรดกสืบทอดมาแต่บรรพชนอยู่หลายหลาก ข้าพเจ้ามาเยือนนครที่มีสิ่งน่าสนใจมากมายนี้เป็นจุดสุดท้าย ทำให้รู้สึกว่ามีเวลาที่จะศึกษาและชื่นชมน้อยไปเป็นอันมาก. ข้าพเจ้าและคณะได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งในที่ทุกแห่งที่ไปเยือนรวมทั้งที่นครอูหลู่มู่ฉีนี้ด้วย การต้อนรับและไมตรีจิตของมิตรชาวจีนจะประทับอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าอีกช้านาน.

(น.348) ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติทุกท่านดื่มเพื่อสุขภาพและความสำเร็จของท่านประธาน เพื่อความรุ่งเรืองไพบูลย์ของเขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์ และเพื่อมิตรภาพยั่งยืนสถาพรสืบไป ระหว่างประชาชนจีนไทยและประเทศทั้งสองของเรา.

(น.349)
พระราชดำรัส
ในวโรกาสที่ นายอับดุล โอบุท ผู้ตรวจราชการเมืองกาชการ์
จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย ณ โรงแรมกาชการ์
วันพุธที่ 18 เมษายน พุทธศักราช 2533


ท่านนายกเทศมนตรี และท่านผู้มีเกียรติ
ข้าพเจ้าขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างดียิ่ง และสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเป็นอันมากที่จะได้มายังเมืองกาชการ์นี้ ทั้งนี้เพราะเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และแทบจะเรียกได้ว่ายังไม่เคยมีคนไทยเดินทางมาถึง เมืองกาชการ์มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่ารู้ น่าศึกษามากซึ่งในวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าคงจะได้พบเห็นสิ่งที่ดีงามของเมืองนี้. ในโอกาสนี้ ขออวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพดี และขอให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย – จีน ยั่งยืนตลอดไป.

สุนทรพจน์

(น.350)
สุนทรพจน์ ของ
ฯพณฯ อู๋เซียะเฉียน รองนายกรัฐมนตรี
ในวโรกาสที่จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย
ณ ห้องฟางเฟยหยวน บ้านรับรองแขกเมืองเตี้ยวหยูวไถ
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พุทธศักราช 2533


ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทราบฝ่าละอองพระบาท และมิตรทั้งหลาย
ในฤดูใบไม้ผลิที่งดงาม ข้าพระพุทธเจ้า นายอู๋เซียะเฉียน รองนายกรัฐมนตรีในนามรัฐบาลและประชาชนชาวจีน รู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งในการที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีน ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลจีน และยินดีที่ได้ต้อนรับคณะผู้ตามเสด็จ ไทยและจีนเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่สนิทชิดเชื้อ ประชาชนของประเทศทั้งสองมีสัมพันธไมตรีติดต่อไปมาหาสู่กันมาแต่ครั้งโบราณกาล หลังจากการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ความสัมพันธ์และความร่วมมือทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศได้ขยายรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ 9 ปีก่อนเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนครั้งแรก ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะทูตสันถวไมตรีของประชาชนชาวไทย ครั้งนั้นทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ “ย่ำแดนมังกร” ทรงบรรยายถึงความรู้สึกในไมตรีจิตมิตรภาพของทั้งสองประเทศ ใช้สำนวนเรียบง่ายแต่มีสีสันงดงามแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถทั้งด้านการเขียนบันทึก –
(น.351) สิ่งที่ได้ทอดพระเนตรในระหว่างเสด็จฯ เยือนจีน และที่สำคัญทรงเข้าพระทัยปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง บทพระราชนิพนธ์นี้เป็นที่สนใจและชื่นชอบของชาวจีนและชาวไทยอย่างกว้างขวาง ข้าพระพุทธเจ้า และชาวจีนทั้งหลายล้วนชื่นชมและเคารพนับถือในใต้ฝ่าละอองพระบาทอย่างจริงใจที่ได้ทรงกระตือรือร้นต่อกิจการมิตรภาพระหว่างประเทศจีนกับประเทศไทย การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ นอกจากจะเสด็จ ฯ ทรงพบผู้นำจีนในปักกิ่ง และทอดพระเนตรกิจการต่าง ๆ แล้ว ยังจะเสด็จ ฯ เยือนภาคตะวันตกของจีน เพื่อทรงศึกษาเส้นทางค้าแพรไหม ซึ่งเป็นเส้นทางติดต่อระหว่างจีนกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและเอเชียสมัยก่อน การที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะเสด็จ ฯ เยือนเส้นทางเชื่อมมิตรภาพอันลือชื่อนี้ จักก่อให้เกิดคุณประโยชน์ใหม่ในการกระชับความเข้าใจ ส่งเสริมมิตรภาพที่สืบทอดกันมาช้านานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ข้าพระพุทธเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเสด็จ ฯ เยือนประเทศจีนครั้งนี้ จะถึงความสำเร็จอันสมบูรณ์ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติ ดื่มเพื่อมิตรสัมพันธ์ระหว่างประชาชนจีนกับไทยสองประเทศ ให้ยิ่งเจริญไพบูลย์ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรไทย เพื่อพระพลานามัยอันสมบูรณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่อสุขภาพของท่านผู้มีเกียรติจากประเทศไทย รวมทั้งบรรดาสหายทั้งหลายในที่ดีด้วย.

(น.352)
สุนทรพจน์ ของ
นายซุนต๋าเหริน รองผู้ว่าราชการมณฑลส่านซี
ในวโรกาสที่จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย
ณ โรงแรมถังเฉิง เมืองซีอาน
วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พุทธศักราช 2533


ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทราบฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า นายซุนต๋าเหริน รองผู้ว่าราชการมณฑลส่านซี ในนามประชาชนมณฑลส่านซี รู้สึกชื่นชมยินดีที่ได้รับเสด็จ ฯ เข้าสู่เส้นทางสายแพรไหม เมืองซีอานเป็นราชธานีเก่าของจีน และเป็นจุดเริ่มต้นของการติดต่อระหว่างภาคตะวันออกและตะวันตกของจีน เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการค้าแพรไหม การเสด็จพระราชดำเนินคราวนี้นอกจากจะได้ทรงศึกษาถึงความเป็นมาและความสัมพันธ์ระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตกในสมัยโบราณแล้ว ยังจะมีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย.

(น.353)
สุนทรพจน์ ของ
นายเจี่ยจื้อเจี๋ย ผู้ว่าราชการมณฑลกานซู
ในวโรกาสจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย
ณ บ้านพักรับรองหนิงว่อ นครหลวงโจว
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พุทธศักราช 2533


ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทราบฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า นายเจี่ยจื้อเจี๋ย ผู้ว่าราชการมณฑลกานซู ในนามประชาชนมณฑลกานซู รู้สึกปิติและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสต้อนรับใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลกานซู ในฤดูใบไม้ผลิอันงดงามวิจิตรนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง มิตรภาพระหว่างจีนกับไทยมีประวัติสืบทอดมาช้านาน โดยเฉพาะเมื่อ 15 ปีมานี้ ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ และผู้นำของทั้งสองประเทศผลัดเปลี่ยนเยี่ยมเยือนกันหลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลา 9 ปีมานี้ ข้าราชการทุกระดับติดต่อไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยสม่ำเสมอก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน และส่งเสริมกระชับสัมพันธ์ไมตรีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ทรงนำไมตรีจิตมิตรภาพของประชาชนชาวไทยมาสู่ชาวจีน และเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับ ก็จัก –

(น.354) ทรงนำไมตรีจิตมิตรภาพของประชาชนชาวกานซูไปสู่ประชาชนชาวไทยอีกด้วย ขอให้การเสด็จเยือนประเทศจีนคราวนี้ได้รับผลสำเร็จอันสมควร และขอให้มิตรภาพระหว่างประเทศจีนกับประเทศไทยเพิ่มพูนมากขึ้น มณฑลกานซูนี้เป็นมณฑลที่มีประวัติยาวนาน และถึงแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ได้มีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าไปมาก มณฑลกานซูเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันอุตสาหกรรมวัตถุดิบและสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมที่มีชื่อของมณฑล ข้าพระพุทธเจ้าตั้งความปรารถนาว่าจะได้มีการร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ในอนาคต และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยและจีนจักยั่งยืนมั่นคงสืบไป ประดุจน้ำในแม่น้ำหวงเหอและแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะไหลอยู่เรื่อยไปไม่มีวันสิ้นสุดได้ ในท้ายที่สุด ข้าพระพุทธเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติดื่มถวายพระพร และตั้งความหวังให้การเสด็จพระราชดำเนินครั้งสัมฤทธิ์ผลสมดังพระราชหฤทัยปรารถนาทุกประการ.

(น.355)
สุนทรพจน์ ของ
นายเจินเจื้งซิง รองนายกเทศมนตรีเมืองเจียยู่กวน
ในวโรกาสที่จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย
ณ โรงแรมฉางเฉิง เมืองเจียยู่กวน
วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พุทธศักราช 2533


ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทราบฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า นายเจินเจิ้งซิง รองนายกเทศมนตรีเมืองเจียยู่กวน ในนามของรัฐบาลประเทศและประชาชนชาวเมืองเจียยู่กวน รู้สึกยินดีในการที่ไต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินเยือนนครของเรา ในวาระที่ฤดูใบไม้ผลิอันงดงามกำลังย่างเข้ามาถึง เมืองเจียยู่กวนเป็นเมืองขึ้นตรงต่อมณฑล ที่ชื่อเมืองเจียยู่กวนก็เพราะว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในด่านเจียยู่กวน เป็นเมืองอุตสาหกรรมใหม่บริษัทอุตสาหกรรมถลุงเหล็กที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน คือบริษัทอุตสาหกรรมจิ่วฉวนก็อยู่ในเขตเมืองนี้ เมืองเจียยู่กวนมีการพัฒนาขึ้นพร้อม ๆ กับอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก และได้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวพร้อมกันไปด้วยในอดีตกาล ด่านเจียยู่กวนเป็นประตูสำคัญที่สุดในเส้นทางสายแพรไหม มีโบราณสถาน และโบราณวัตถุมากมายหลายแห่ง นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว 70 กว่าแห่งของประเทศ ปีหนึ่ง ๆ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนด่านเจียยู่กวนถึงสองแสนคน ประเทศจีนและประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสัมพันธไมตรีอันดีประชาชนของประเทศทั้งสองมีการติดต่อไปมาหาสู่กันอย่างกว้างขวาง และ

(น.356) มีไมตรีจิตมิตรภาพอันลึกซึ่ง การที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จ ฯ เยือนเป็นการกระชับความเข้าใจ ระหว่างประชาชนเจียยู่กวนกับประชาชนของประเทศไทยด้วย ในนามของรัฐบาลเทศบาลเจียยู่กวน ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรให้ทรงประสบผลสำเร็จในการเสด็จ ฯ เยือนเมืองเจียยู่กวนครั้งนี้ สุดท้ายนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอเชิญชวนดื่มถวายพระพร และเพื่อมิตรภาพระหว่างประเทศจีนกับประเทศไทย.

(น.357)
สุนทรพจน์ ของ
นายหลี่เป่าเฟิง นายกเทศมนตรีเมืองจิ่วฉวน
ในวโรกาสจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารกลางวันถวาย
ณ โรงแรมจิ่วฉวน เมืองจิ่วฉวน
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พุทธศักราช 2533


ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทราบฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าในนามเขตปกครองของจิ่วฉวน เทศบาล และประชาชนเมืองจิ่วฉวน รู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในการที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองจิ่วฉวนครั้งนี้ เมืองจิ่วฉวนนับเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางสายแพรไหมในระยะทาง 600 กิโลเมตรนี้จะมีกำแพงเมืองจีนเก่า วัดวาอาราม ถ้ำตุนหวง เยหยาเฉียน เยหยากวน และด่านกู่หยางกวน นอกจากนั้นยังมีทะเลทราย ดอนสีเขียว ทุ่งหญ้าภูเขาฉีเหลียนซาน อันเป็นสถานที่ทัศนาจรสวยงามมาก เมืองนี้มีศิลปหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงอย่างหนึ่งคือการประดิษฐ์เย่กวงเป้ย ซึ่งเช้าวันนี้ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จ ฯ ทอดพระเนตร พร้อมทั้งทรงลงพระนามในสมุดเยี่ยมแล้ว การที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินมาครั้งนี้ ทำให้เส้นทางสายแพรไหมมีความหมาย มีสีสันสดใสยิ่งขึ้นและจักจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของผู้มาเยือนเมืองจิ่วฉวนตลอดไป สุดท้ายนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติดื่มถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยที่ดี และทรงมีความสุขสำราญตลอดเวลาที่ประทับ ณ เมืองจิ่วฉวน.

(น.358)
สุนทรพจน์ ของ
นายจางจื้อกัง นายกเทศมนตรีเมืองตุนหวง
ในวโรกาสจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารกลางวันถวาย
ณ โรงแรมตุนหวง เมืองตุนหวง
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พุทธศักราช 2533


ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทราบฝ่าละอองพระบาท
ในวาระฤดูใบไม้ผลิอันงดงามวิจิตรอันมาถึงพร้อมกับการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนเมืองตุนหวง ข้าพระพุทธเจ้า นายจางจื้อกัง นายกเทศมนตรีเมืองตุนหวง ในนามประชาชนเมืองตุนหวง รู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมืองตุนหวงเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติอันยาวนาน ในประวัติศาสตร์ เป็นเมืองสำคัญในการติดต่อระหว่างประเทศจีนกับต่างประเทศ เขตเทศบาลเมืองตุนหวงมีเนื้อที่ 31,300 ตารางกิโลเมตร ประชาชน 122,000 คน มีโบราณสถาน 27 แห่ง สถานที่ที่มีทัศนียภาพสวยงามได้แก่ หมิงซาซาน เป็นต้น เมืองตุนหวงนับเป็นโบราณสถานที่มีชื่อเสียง และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของมณฑลกานซูและของประเทศจีน ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าทราบมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีทัศนียภาพสวยงาม มีพุทธศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ และมีสถานที่ทัศนาจรท่องเที่ยว ข้าพระพุทธเจ้าหวังว่าการที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองตุนหวงครั้งนี้ จะทำให้มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและโบราณคดีระหว่างสองประเทศเพิ่มมากขึ้น

(น.359) บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติดื่มเพื่อถวายพระพรและเพื่อมิตรภาพระหว่างจีน – ไทย ได้มั่นคงยั่งยืนต่อไป และข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสทูลเกล้า ฯ ถวายของที่ระลึกในนามประชาชนชาวตุนหวงด้วย.

(น.360)
สุนทรพจน์ ของ
นายทูมูร์ ดาวาเมต ผู้ว่าราชการเขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์
ในวโรกาสจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย
ณ มหาศาลาประชาชนอูหลู่มู่ฉี เมืองอูหลู่มู่ฉี
วันอังคารที่ 17 เมษายน พุทธศักราช 2533


เป็นที่ทราบกันดีว่าไทยและจีนมีอารยธรรมเก่าแก่ยาวนาน มณฑลซินเกียงอุยกูร์มีเนื้อที่หนึ่งแสนหกหมื่นตารางกิโลเมตร มีประชากรมากกว่า 14 ล้านคน ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรเป็นชนชาติอุยกูร์ พูดภาษาอุยกูร์ และนับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงที่ผ่านมานี้ ซินเกียงได้พัฒนารุดหน้าไปมาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การศึกษา การเมือง และการปกครอง มณฑลซินเกียงเป็นมณฑลที่มีระยะทางยาวที่สุดมณฑลหนึ่งบนเส้นทางสายแพรไหม การที่ใต้ฝ่าพระบาทเสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลนี้ จะทรงได้รับความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนมากยิ่งขึ้น พร้อมกับจะมีส่วนเกื้อกูลความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนชาวไทยและจีนให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นต่อไป ข้าพระพุทธเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการทัศนศึกษาครั้งนี้ ทุกท่านจะได้รู้จักเขตปกครองตนเองแห่งนี้มากขึ้น และหวังว่าในอนาคตจะมีคนไทยเดินทางมาเยือนมณฑลซินเกียงอุยกูร์มากขึ้น ท้ายที่สุดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสทูลเกล้า ฯ ถวายหมวกของชนพื้นเมืองอุยกูร์ กับทั้งของพื้นเมืองอื่น ๆ แด่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลซินเกียงอุยกูร์ครั้งนี้.

(น.361)
สุนทรพจน์ ของ
นายอับดุล โอบุท ผู้ตรวจราชการเมืองกาชการ์
ในวโรกาสจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย
ณ โรงแรมกาชการ์ เมืองกาชการ์
วันพุธที่ 18 เมษายน พุทธศักราช 2533


ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทราบฝ่าละอองพระบาท
วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสรับเสด็จใต้ฝ่าละอองพระบาทและผู้ตามเสด็จ ฯ ในนามประชาชนเขตกาชการ์ เมืองกาชการ์เป็นเมืองโบราณ อยู่ติดกับชายแดน มีประวัติยาวนานมากกว่า 2,500 ปี การที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินมาครั้งนี้ เป็นเหตุให้บรรดาข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายนี้ขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติดื่มเพื่อมิตรภาพระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน และดื่มถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์รวมทั้งอวยพรแก่แขกผู้มีเกียรติ ณ ที่นี้ด้วย.

Next >>