Please wait...

<< Back

" ย่ำแดนมังกร วันที่ 12 พฤษภาคม 2524 "


(น.22) รูป 11 ทดลองระบายสี ที่วังอนุชน

(น.22) หลังจากนั้นไปดูการวาดภาพระบายสีจีน มีเด็กโตๆ ชั้น ม.ศ. ปลายอยู่ด้วยเรายังไปขอเขาลองระบายดูเลย เด็กคนนั้นเลยสอนให้เราถือพู่กันให้ถูกต้อง เขาใช้พู่กันแบบจีน ในขณะที่คนไทยใช้แต่พู่กันของสง่า มยุระ อีกห้องมีสอนสเก็ตซ์ภาพเหมือนด้วยดินสอดำ ดินสอถ่าน มีครูจบจาก ร.ร. ช่างศิลป์หรือเพาะช่าง พวกเด็กที่เข้ามาฝึกส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่มาติวเพื่อเข้าโรงเรียนช่างศิลป์หรือเพาะช่าง อีกห้องสอนให้เด็กเขียนตัวหนังสือจีน การเขียนอักษร(Calligraphy) นี้ถือว่าเป็นศิลปะชั้นสูง เขาถือว่าลายมือเป็นของสำคัญ อย่างเดียวกับที่นางวันทองสอนพลายงามว่า “ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ” ของจีนตัวอักษรที่ถือว่างามจะต้องได้สัดส่วน ฉะนั้นเวลาเริ่มเรียนเขียนหนังสือจีนจะต้องหัดเขียนอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเด็กของวังอนุชนแห่งนี้เคยประกวดชนะการเขียนอักษรของเยาวชนทั่วประเทศได้ที่หนึ่ง เป็นเด็กหญิงอายุ 8 ปีคนที่ได้ที่สองเป็นเด็กชายอายุ 11 ปี จากนั้นไปดูเด็ก 5-6 ปีเขียนภาพสัตว์ต่างๆ ได้ดีมากสำหรับอายุเท่านั้น เมื่อเด็กวาดรูปเสร็จแล้วจะเขียนชื่อ และลงปี เดือน วันที่ (สับกับของเราที่จะลงวัน เดือน ปี) บางคนจะเขียนกำกับไว้ด้วยว่ารูปปลา รูปกุ้ง รูปนก แอ๋วหัวเราะแล้วบอกว่าเด็กๆ มักจะเป็นอยู่อย่างหนึ่งคือ พอเขียนรูปแล้วชอบเขียนกำกับไว้ว่าเป็นรูปอะไร กลัวคนจะดูไม่ออก หลังจากนั้นเขาให้ไปดูห้องที่เขาฝึกบัลเลต์เด็กๆ ครูจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ เขาให้เด็กๆ เต้นระบำนกยูงของสิบสองปันนาเหมือนอย่างที่นาฏศิลป์จีนมาแสดงที่กรุงเทพฯ ในด้านการกีฬา เห็นเขาให้เด็กเล่นปิงปองและมวยจีน ซึ่งมีทั้งมวยแบบออกกำลังกาย และการต่อสู้ป้องกันตัว เขาดีที่ฝึกเด็กตั้งแต่เล็กๆ ทีเดียว ให้รู้จักศิลปะประจำชาติ บางท่าของเขาดูแล้วชวนให้คิดถึงรำ “สิระ” ของชาวไทยมุสลิมภาคใต้อันเป็นศิลปะการป้องกันตัว ยังคิดว่าน่าจะใส่ในหลักสูตรของโรงเรียนบ้าง ตอนสุดท้ายของการเยี่ยมวังอนุชน ผู้อำนวยการได้พาพวกเราเข้าชมการแสดงในโรงละคร รายการแรกเป็นการร้องเพลงหมู่ ชื่อเพลงปิตุภูมิของเราดี ผู้ที่ประกาศเป็นเด็ก ผู้อำนวยการเพลงก็เป็นเด็กๆด้วยกัน เพลงที่สองชื่อเพลงห้าต้องทำ เพลงนี้กล่าวถึงคุณธรรม


(น.23) รูป 12 ถ่ายกับเด็กวังอนุชน ผู้ชนะประกวดคัดลายมือ


(น.24) รูป 13 เด็กเล่นมอญซ่อนผ้า

(น.24) ที่เด็กควรจะยึดถือ ข้าพเจ้าพยายามถามว่าห้าอย่างนี้มีอะไรบ้าง ก็ไม่แน่นอน (คงจะเป็นเพราะยังไม่เคยชินต่อการแปล) เท่าที่ฟังออกมาได้ว่า
สิ่งที่ต้องทำ 5 อย่างคือ
1. ต้องมีจริยธรรม ทำความดี
2. มารยาท
3. รักษาอนามัย
4. มีระเบียบ
5. พูดจาไพเราะ ใช้ภาษาสละสลวย


(น.25) รูป 14 ถ่ายกับนักร้องประสานเสียงของวังอนุชน

(น.25) แล้วยังมีสวย 4 อย่าง ได้แก่
1. จิตดี
2. กิริยาดี
3. ใช้ภาษาดี
4. สิ่งแวดล้อม (จัดที่เรียบร้อย)


(น.26) รูป 15 เด็กๆที่วังอนุชนร้องเพลงประสานเสียง

(น.26) หลังจากนั้นเป็นการแสดงระบำ 2 ชุด ชุดแรกเป็นระบำชาติ มองโกล อีกชุดเป็นระบำเลียนแบบภาพฝาผนังถ้ำ ตุนหวง ในมณฑล กานซู ซึ่งเป็นภาพเขียนทางพุทธศาสนา เขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อการแสดงจบแล้ว เดินออกมามีพวกเด็กๆ กระโดดโลดเต้นส่งอีก ได้มอบหนังสือชุดเกี่ยวกับเมืองไทยและหัวโขนให้แก่วังอนุชน ในรถได้สนทนากับภรรยาท่านหันเนี่ยนหลง ท่านได้กล่าวว่าทางจีนมีนโยบายจะสอนเด็กๆให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในขณะที่พ่อแม่ทำงานและไม่มีเวลาดูแลลูก พวกลูกๆ จะได้ไม่ไป


(น.27) รูป 16 ถ่ายกับเด็กเล่นมวยจีนที่วังอนุชน

(น.27) เที่ยวซนตกต้นไม้แขนขาหักหรือทำของเสีย เป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ไปในตัว ข้าพเจ้ายังบอกกับเขาว่า ถ้าเอาลูกมาเรียนที่ศูนย์หมดแล้ว เด็กๆ ก็จะไม่มีโอกาสช่วยงานพ่อแม่ หรือเรียนงานที่พ่อแม่มีความรู้เฉพาะ เขาบอกว่าก็มีเหมือนกัน เด็กที่เล่นดนตรีเก่งๆ พวกนี้หลายคนมีพ่อแม่เป็นนักดนตรีพื้นเมือง ข้าพเจ้าถามว่าการฝึกสอนนักเรียนให้มีความรู้พิเศษเหล่านี้ถ้าเป็นไปตามความสมัครใจของเด็กอย่างที่ว่าแล้ว เด็กอาจจะเฮโลมาเรียนอะไรที่ล้น

(น.28) ตลาดอยู่แล้ว น่าจะมีการชักแนะเด็กให้เรียนสิ่งที่รัฐต้องการ ทุกคนจะได้มีงานทำให้มีประโยชน์ เช่นขณะนี้ในตลาดแรงงานกำลังขาดแคลนช่างฟิต ก็พยายามจัดสรรให้เด็กฝึกไปทางนั้น เขาบอกว่าเขาก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว หลังจากนั้นเราไปที่ เทียนถาน หรือหอฟ้า อันเป็นที่ซึ่งจักรพรรดิตั้งแต่ราชวงศ์เหม็ง (หรือ หมิง) มากระทำพิธีพืชมงคลแบบจีนเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่รัฐ เมื่อไปถึงลมแรงมากจนต้องควักแว่นตาขึ้นมาใส่ปะทะผงต่างๆ ที่จะเข้าตาเอาไว้ก่อนอาคารแรกที่ไปเป็นอาคารกลมๆ ชื่อว่า ซิ่นเเหนียนเตี้ยน ผู้ดูแลบอกว่าสร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1420 ในรัชกาลพระจักรพรรดิหย่งเล่อ (ใช้เวลาสร้าง 14 ปี) หลังคา 3 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินสวยงามมาก สีน้ำเงินเป็นสีที่บ่งบอกความหมายถึงสวรรค์ เป็นสถานที่พำนักของเทพเจ้าหรือเรียกว่า เทียน (ถ้าเป็นพระราชวังหลังคาจะมุงด้วยกระเบื้องสีเหลืองซึ่งเป็นสีของกษัตริย์) อาคารนี้ถูกเผาในปี 1889 และได้บูรณะใหม่ให้เสร็จสิ้นใน ค.ศ. 1971 ภายในช่างใช้วิธีก่อสร้างอย่างไรก็ไม่ทราบ ทำให้มองเพดานสูงลิบ มีเสาสูงๆเป็นไม้ทั้งต้น เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเมตรกว่า สูงเกือบ 20 เมตร ไม้ที่ใช้ทำเสานี้เห็นเขาบอกว่าภาษาจีนเรียกว่าไม้ หนานมู่ ไม่ทราบว่าภาษาไทยจะว่าอะไร ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะมีในเมืองไทยเพราะเป็นไม้ที่ได้จากป่าแถวๆ มณฑล ยูนนาน และ เสฉวน ซึ่งอากาศ


(น.29) รูป 17 เทียนถาน


(น.30) รูป 18 เทียนถาน

(น.30) ไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก หัวเสาทำเป็นรูปมังกรและหงส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและมเหสีตามลำดับ ที่พื้นอาคารตรงกลางห้องพอดี เป็นหินอ่อนลวดลายธรรมชาติซึ่งคนจีนมองแล้วบอกว่าเป็นหงส์และมังกร ข้าพเจ้ามองไม่ออกเลยว่าตรงไหนเป็นหงส์ตรงไหนเป็นมังกร เพราะไม่ค่อยจะสันทัดเรื่องดูเมฆดูหมู่ดาวเป็นรูปต่างๆ เลย ได้แต่เออออไปกับเขาอย่างนั้นเอง บนยกพื้นมีบัลลังก์ ซึ่งจักรพรรดินั่งไม่ได้เพราะเป็นอาสนะของ เทียน (สวรรค์) จักรพรรดิต้องประทับพระราชอาสน์ที่อยู่ข้างๆ ข้อที่ควรสังเกตอย่างหนึ่งคือทางจีนเขารักษาโบราณสถานของเขาไว้อย่างดีมาก เรื่องการซ่อมบูรณะจะเหมือนเดิมหรือไม่ก็สุดจะ

(น.31) เดาเพราะก็ดูเป็นลวดลายเขียวๆ แดงๆ เหมือนกันหมด แต่การป้องกันการถูกทำลายนั้นเขาทำได้ดี คือประการแรกมีเชือกกันคนไว้ให้ยืนดูวัตถุต่างๆ ได้ไกลๆ อาสนะและบันไดมีผ้าหรือพลาสติกคลุมเสาตรงที่คนอาจจะเอื้อมถึง แม้ว่ากันเชือกไว้แล้วก็จะเอาพลาสติกหุ้มป้องกันไว้ ภาพสลักที่บันไดก็ทำรั้วโลหะกัน บางส่วนของบันไดที่คนเดินขึ้นลงก็ตีระแนงไม้ไผ่กันสึกไว้อย่างดีเรียบร้อย ตรงหลังคามีลวดตาข่ายกันนกมาทำรัง ดูเหมือนว่าอาคารนี้ใช้ประกอบพิธีในฤดูใบไม้ผลิ และมีอาคารอีกแห่งใช้ประกอบพิธีในฤดูใบไม้ร่วง รอบๆ เป็นสถานที่จักรพรรดิทรงประกอบพิธีบูชา ลม เมฆ ฝน ไฟ มีเตาเผาเครื่องบูชาที่ใช้ในพิธีเฉพาะ และมีทางเดินไปเชื่อมกันสถานที่ซึ่งใช้ในการบูชาบรรพบุรุษ อีกอาคารหนึ่งเป็นที่ซึ่งจักรพรรดิใช้เปลี่ยนฉลองพระองค์เพื่อจะเข้าพิธี ทางเดินที่เราเดินไปกันเป็นทางของจักรพรรดิทรงพระดำเนินโดยเฉพาะ สถานที่นี้ทั้งบริเวณก็มิได้เปิดให้คนทั่วไปเข้า จนถึง ค.ศ. 1915 จึงเปิดเป็นสวนสาธารณะ และเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง คือมีพื้นที่ 273 เฮกตาร์ ต้นสนเก่าๆ อายุ 400-500 ปี มีอยู่กว่า 2,000 ต้น มีอยู่ต้นหนึ่งอายุ 500 กว่าปี ต้นโตกว่าเพื่อน มีชื่อเรียกว่ามังกร 9 ตัว เขาบ่นว่าต้นไม้ตายไปหลายต้นแล้ว เพราะยังขาดความรู้ ขณะนี้ได้ประสานงานกับกรมป่าไม้ให้ช่วยดูแล

Next >>