Please wait...

<< Back

" ย่ำแดนมังกร วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2524 "


(น.160) รูป 79 การปลูกผัก

(น.161) “เตี่ย” ของซีอานขับรถช้าพอๆ กับเตี่ยปักกิ่งก็เลยมีเวลาชมธรรมชาติ และฟังเรื่องสุสานต่อไปว่า สำหรับทหารรถม้านั้น รถคันหนึ่งจะเทียมม้า 4 ตัวข้างหน้า คนขับรถม้าอยู่กลาง สองด้านเป็นทหารธนู และข้างหลังอีก 3 คน คนหนึ่งถือไม้ไผ่ยาวๆ 4 เมตร กวาดสิ่งของที่ขวางทาง นอกจากนั้นยังมีนายทหารในกองบัญชาการทั้งหมดมี 8,000 คน เดี๋ยวนี้ขุดหลุมเดียว อีก 2 หลุมได้สำรวจแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ สุสานนี้กว่าจะสร้างเสร็จใช้เวลา 11 ปี ภายในสุสานทำเป็นท้องฟ้า มีดาว เดือน ตามบันทึกว่า สมบัติถูก เซี่ยงหยู่ ซึ่งเป็นคู่แข่งของ หลิวปัง กษัตริย์ราชวงศ์ ฮั่น องค์แรกมาปล้นไปส่วนหนึ่ง ในขณะที่มณฑล ส่านซี และ หลิวปัง กำลังรบกัน ขณะนั้นเมืองหลวงของราชวงศ์ ฮั่น อยู่ที่ ซีอาน พูดถึงราชวงศ์ ฮั่น คุณซุนหมิงบอกว่า ฮั่น ก็มีหุ่นจำลองเหมือนกัน มีทั้งตุ๊กตาคนตุ๊กตาม้า แต่ตัวเล็กกว่าหุ่นของราชวงศ์ ฉิน พวก ฉิน นี้มีอิฐที่ดีมาก ส่วนสมัย ฮั่น ทำกระเบื้องได้ดี พรุ่งนี้ที่พิพิธภัณฑ์จะได้ดูของจักรพรรดิ ฮั่น แล้วคุณซุนหมิงก็เล่าเรื่อง หวาชิงฉือ ว่า บ่อน้ำร้อนนี้มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ โจว เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีแร่กำมะถัน ใครมาอาบแล้วทำให้ผิวหนังดี เขาบอกว่ามีเรื่องเล่ากันมาว่าตรงนี้ (หวาชิงฉือ) ในสมัยราชวงศ์ โจว มีจักรพรรดิองค์หนึ่งทรงพระนามว่า โจวยิวหวัง ได้พระสนมคนหนึ่งชื่อ เป่าซื่อ พระสนมนี้ไม่ดีกับจักรพรรดิ ทั้งๆ ที่พระจักรพรรดิพยายามเอาใจนางทุกๆ ประการ นางก็ไม่ยอมยิ้มกับ

(น.162) จักรพรรดิ พยายามหาเรื่องสนุกสนานมาเล่นนางก็ไม่ยิ้ม พระจักรพรรดิกลุ้มพระทัยมากจึงนำความไปปรึกษาขุนนาง ขุนนางผู้หนึ่งถวายความเห็นว่า บนภูเขา หลี่ซาน มีสถานที่สำหรับจุดไฟให้ทหารเข้ามารวมพลกันเมื่อเวลามีศึกสงคราม ให้ลองจุดไฟบนนั้นแล้วจัดงานฉลองกันให้เป็นที่สำราญ พระจักรพรรดิทรงเชื่อตามนั้นครั้งเมื่อจักพรรดิจุดไฟบนภูเขา นายพลทั้งหลายต่างก็เข้ามาด้วยคิดว่าแผ่นดินถูกคุกคาม กลับมาพบพระจักรพรรดิสรวลเสเสวยสุราอยู่กับเหล่าขุนนางสอพลอ แถมยังทรงชักชวนว่า เราจงมาสนุกสนานกันเถิด เหล่านายพลโกรธมาก ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทำอะไรไม่ได้ พากันลงจากเขาไป ฝ่ายพระสนมเห็นภาพเช่นนั้นก็หัวเราะชอบใจ (สนมคนนี้ถ้าไม่เป็นไส้ศึก คงเป็นคนที่มีนิสัยประหลาดอยู่) ในกาลต่อมามีศัตรูรุกรานจริงๆ พระจักรพรรดิจุดไฟบนยอดเขาก็ไม่มีทหารมา เพราะต่างก็คิดว่าจักรพรรดิคงจะสนุกสนานอีกแล้ว ในครั้งนั้นบ้านเมืองจึงเสียไป ตำนานเรื่องนี้เข้าทำนอง “เด็กเลี้ยงแกะ” ของอีสป ฟังนิทานไปเรื่องหนึ่งแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงสุสาน รถที่แล่นสวนเราไปมีรถสามล้อโดยสาร ไม่มีหลังคาคลุมเหมือนรถโดยลารบ้านเรา ที่นั่งก็เป็นไม้ ยังมีเวลาเหลือ คุณซุนหมิงเลยเล่านิทานหรือตำนานเกี่ยวกับหวาชิงฉืออีกเรื่องหนึ่งว่า ในสมัยราชวงศ์ ถัง พระจักรพรรดิแห่งสมัยราชวงศ์ ถัง มีพระสนมคนหนึ่งชื่อ หยางกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นพระสนมที่พระจักรพรรดิทรงรักมา ถึงกับสร้างที่ประทับบริเวณบ่อน้ำร้อนนี้เพื่อมาประทับแรมกับพระสนมในฤดูหนาว ครั้งเหล่าเสนาบดีพยายามจะเอาพระทัยพระจักรพรรดิ จึงเอาหยก

(น.163) ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นรูปมังกร เอาไปใส่ไว้ในบ่อน้ำที่พระจักรพรรดิจะมาสรงน้ำกับพระสนม เมื่อจักรพรรดิมาถึงเห็นมังกรอยู่ในน้ำกระเพื่อมๆ ก็ตกพระทัยสะดุ้งกลัว เพราะคิดว่าเป็นมังกรเป็นๆ เลยสรงน้ำไม่ได้ จนเสนาบดีต้องมาเอามังกรหยกออก รถแล่นเข้าเขตอุตสาหกรรมผ่านโรงงานไฟฟ้า ผ่านแม่น้ำ บ้านเรือนแถบนี้ คุณซุนหมิงบอกว่าสร้างแบบราชวงศ์ เหม็ง แต่สมัยเหม็งใช้กระเบื้องมุงหรูหรากว่า ที่นี่บ้านมักจะก่ออิฐเฉยๆ ใช้ปูนซีเมนต์ยาบ้าง แต่ไม่ใช้เหล็กเลย ที่เห็นเป็นบ้านของชาวนาในคอมมูน แถวนี้มีต้นหลิวมาก คุณซุนหมิงบอกว่า ตามบทกวีสมัย ถัง มีจดไว้ว่า แถบนี้เต็มไปด้วยต้นหลิว ในฤดู ชุนเทียน หลิวจะออกดอกเหมือนสำลีปลิวขาวเต็มไปหมด บริเวณเมืองซีอานมีแม่น้ำ 8 สาย ขณะนี้น้ำน้อยลงเพราะใช้มาก ทางจีนกำลังหาทางแก้ไขปัญหาน้ำ แม้ว่าจะมีการชลประทาน น้ำสำหรับการเกษตรพอแล้ว แต่น้ำใช้ยังไม่พอ ลำบากหน่อยเพราะทางการเกษตรก็ต้องใช้น้ำ ในเมืองก็ต้องใช้น้ำ ปีนี้ดีหน่อยที่มีฝน ปีกลายแล้ง แถวนี้เห็นเขาผูกม้าเอาไว้หลายตัว เห็นหมูตัวหนึ่งสีเทาๆ ขนยาวกว่าหมูเมืองไทย ข้างถนนมีตลาดนัด เขาบอกว่ามีตลาดอย่างนี้ทุกวัน รถผ่านแม่น้ำ ป้าเหอ ซึ่งเป็นแม่น้ำกว้างพอใช้ มีสะพานคู่กันสะพานหนึ่งดูเหมือนจะสำหรับรถไฟ (ข้าพเจ้ามองไม่ชัด) เวลานี้ไม่ค่อยมีน้ำ เห็นมีโคลน ไหลรินๆ อยู่หน่อย เป็นน้ำที่เกิดจากฝนตกเมื่อคืนนี้ เราเลยคุยกันเรื่องๆภูเขาต่างๆ ว่าภูเขา ชิงหลิง ไม่ค่อยมีต้นไม้ หัวซาน เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตอนนี้กำลังซ่อมทาง

(น.164) ซึ่งชันมาก และแคบด้วย มียอดเขา 5 ลูก ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ ภูเขาไป๋ซานเป็นภูเขาสูงมากของมณฑล บางทีเดือนมิถุนาแล้วยังมีหิมะอยู่เลย บ้านบางหลังแถวๆ นี้ทำด้วยดิน วิธีทำฝาบ้านและกำแพงแถวนี้เขาเอาไม้ตั้งเป็นไม้แบบ เอาดินผสมน้ำผสมฟางใส่ในไม้แบบพอดินแข็งดีก็เอาออกจากไม้แบบ แล้วเอาดินพอกให้เรียบสวยงามว่าแล้วเราก็คุยกันเรื่องการเพาะปลูกอีกว่าเขาจะเก็บเกี่ยวข้าวสาลีประมาณ 1 – 10 มิถุนายน รถผ่านสวนทับทิม เป็นผลไม้ที่เขาปลูกจริงๆ จังๆ เป็นไร่ๆ เลย ที่เราเห็นนี้ทับทิมกำลังออกดอกสีแดงสวยงามมาก ดอกโตกว่าทับทิมบ้านเรา ต้นสูงกว่าด้วย คุณซุนหมิง บอกว่าต้นทับทิมเปรี้ยวป้องกันโรคมะเร็งได้ ที่ซีอานนี้มีกิจกรรมอีกประเภทหนึ่งคือการเลี้ยงผึ้ง น้ำผึ้งดอกทับทิมนั้นได้ยินว่ามีคุณภาพดี แอ๋ว อารยาและทิพย์ ซื้อมาทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ใต้ต้นทับทิมเขาปลูกข้าวสาลีบางส่วน ถัดจากไร่ทับทิมเป็นที่ปลูกผักเป็นร่องๆ ที่นี่เขาเอาดินพูนเป็นกองยาวๆ สำหรับกันลมด้วย ข้าพเจ้าสงสัยว่าเขาปลูกผักกันมากๆ อย่างนี้ กินกันเองแถวๆ นี้จะหมดหรือ ได้รับคำตอบว่าเขาเอาไปขายในเมือง ในอำเภอถัดออกไปเป็นสวนพลับ พลับที่นี่ผลเล็กไม่มีเม็ด เวลาสุกแล้วจะหวานมาก ตอนนี้รถเลี้ยวเข้าไปจะถึงที่จุดหมายปลายทางแล้ว เชิงเขาด้านซ้ายมือเป็นสุสาน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าถาม


(น.165) รูป 80 จับมือกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์พระเจ้าฉินสื่อหวังตี้

(น.165) ว่าเหตุไรจึงต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คุณ ซุนหมิง สันนิษฐานว่าพระจักรพรรดิ ฉินสื่อหวังตี้ นี้ เป็นคนที่มีความ สามารถมาก ทำให้ประเทศจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แคว้นทั้ง 6 ที่พระจักรพรรดิรวบรวมอยู่ทางทิศตะวันออกเลยต้องสร้างสุสานหันไปทางตะวันออก เหตุผลนี้นับว่าแปลก ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะมีเหตุผลอื่นเนื่องมาด้วยประเพณีโบราณของจีน แต่ยังไม่ทันได้ถามใคร สุสานนี้ยังไม่มีการขุด (ที่ขุดแล้วและเรากำลังจะได้ไปดูเป็นส่วนของกองทัพไม่ใช่ตัวสุสาน) มีลักษณะเป็นเนินดินใหญ่ เดิมไม่มีต้นไม้เลย คุณ ซุนหมิง เล่าว่า ไม่มีต้นไม้เพราะบริเวณนี้เขาเอาทรายกลบ มีคนเล่าว่าทรายที่กลบนี้เขาเอาไปคั่วก่อน ต้นไม้จึงขึ้นไม่ได้ เขาต้องการจะรักษาสมบัติในสุสานไว้ ที่ฝังหุ่นกองทัพอยู่


(น.166) รูป 81 กำลังดูหุ่นจำลองบริเวณสุสาน

(น.166) ห่างจากสุสาน 3 กิโลเมตร คุณ ซุนหมิง บอกว่า ได้ยินว่าสมัยราชวงศ์ โจว เขาเอาคนเข้าไปไว้ในสุสานจริงๆ สมัย ฉิน นี้ใช้หุ่น สันนิษฐานว่าบางส่วนที่มีการเอาคนในวังฝังไว้ด้วย เพราะกลัวคนเหล่านี้จะเปิดเผยความลับ พอดีถึงที่ซึ่งเราจะไปดูกัน ที่หลุมหุ่นสุสาน มีเจ้าหน้าที่และนักโบราณคดีมารอรับ ตอนแรกเจ้าหน้าที่ภัณฑารักษ์ชี้ให้ดูโต้ยทรายเป็นแผนที่แสดงอาณา

(น.167) บริเวณสุสาน และหลุมหุ่น หลุมหุ่นที่เราดูนี้ห่างสุสานกิโลครึ่ง ค้นพบใน ค.ศ. 1974 ตอนนั้นพบ 3 หลุม มีหุ่น 8,000 ตัว ที่เราดูเป็นหลุมที่ 1 เข้าไปถึงป้ายเขียนไว้ว่า ‘NO PHOTOS’ หลุมนี้ทางตะวันออกถึงตะวันตก 230 เมตร ทางเหนือใต้ 62 เมตร ลึก 5 เมตร มีเหล็กกั้นโดยรอบ ไม่ให้คนมาดูลงไปยุ่งในหลุมได้ นอกจากนั้นทั้งหลุมยังมีโรงคลุมเหมือนสถานีรถไฟหัวลำโพง ในหลุมมีหุ่นเรียงกันเป็นตับ หุ่นเล่านี้เขาบอกว่า ในตอนแรกขุดขึ้นมามีสีสวยงามและวางท่าทางเหมือนจะให้ป้องกันสุสาน ตอนที่พบ (หลังจากพระจักรพรรดิสวครรตไป 1992 ปี) หุ่นบางตัวก็ล้มแตกไป สันนิษฐานว่าเป็นเพราะถูกไฟไหม้ แต่ละตัวมีหน้าตากิริยาอาการและเสื้อผ้าไม่เหมือนกัน (เข้าใจว่าปั้นตามลักษณะ


(น.167) รูป 82 หลุมหุ่นทหารกองทัพพระเจ้าฉินสื่อหวังตี้

(น.168) ของทหารของพระจักรพรรดิจริงๆ) จากเสื้อผ้าและหมวกจะแยกได้ทันทีว่า คนไหนมีฐานะสูงเพียงใด อยู่หมวดหมู่ใด คิดว่าทั้งหมดคงจะมีมากกว่า 6,000 ตัว เท่าที่ดูนั้นในหลุมของเขาแบ่งเป็นช่องๆ ให้หมายเลขตั้งแต่ T1 - T23 และจะรู้ว่าขุดถึงก้นหลุมแล้วหรือยังดูจากอิฐที่ปูก้นหลุม ถ้าถึงอิฐ แปลว่าขุดไปถึงแล้ว เขาชี้ให้เราดูทหารกองหน้า มือถือธนู และบอกว่าการวางรูปกองทัพนั้น ถ้าอยู่ด้านเหนือก็จะหันหน้าไปทิศเหนือ ถ้าอยู่ด้านใต้ก็หันหน้าเข้าทางทิศใต้ ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขารู้ขอบเขตของกองทัพทั้งหมด เราสงสัยว่าว่ารูปหุ่นนี้ทำด้วยอะไร ก็ได้ทราบว่าเป็นดินปั้นเผาทั้งนั้น แต่ไม่รู้แหล่งที่เผา ดูจากตัวที่แตกๆ ก็จะได้รู้ว่าข้างในตัวหุ่นนี้กลวง วิธีทำสันนิษฐานว่าจะใช้พิมพ์หล่อรูปโกลนเสียก่อนแล้วแกะหน้าตารายละเอียดเอาภายหลัง การหล่อนั้นเขาหล่อเป็นส่วนๆ คือ ตัว หัว มือ เป็นต้น แล้วเอามาต่อที่หลัง เดินดูรอบๆ หลุมเห็นว่าบางส่วนตัวหุ่นยังล้มระเนระนาดอยู่ระเกะระกะ คุณภัณฑารักษ์ส่ายหัวแล้วบอกกับพวกเราว่า ใช้เวลาจัดหุ่นมาตั้งห้าปีแล้วนะเนี่ยได้แค่นี้เอง เพราะไม่ใช่ขุดและจัดเท่านั้นยังต้องศึกษาวิจัยเอานักวิชาการและช่างแนงต่างๆ มาช่วยด้วย มีทั้งงานวิจัย งานซ่อมและงานจัด (น่าเวียนหัวแทน) อย่างหุ่นตัวไหนหัวแตกก็ต้องพยายามซ่อม ทำส่วนที่แตกออกเพิ่มเติมให้เต็มโดยค้นคว้าว่าของเก่าเป็นอย่างไร แล้วทำสีให้ต่างกับของเก่า คนจะได้ทราบว่าตรงไหนใหม่ตรงไหนเก่า (ตามหลัการซ่อมโบราณวัตถุ) ส่วนรถ (ม้า) นั้นมักจะทำด้วยไม้จำพวกสนฉะนั้นจึงผุพังไปเกือบหมดแล้วเหลือแต่เศษๆ


(น.169) รูป 83 ห้องพิพิธภัณฑ์สุสานพระเจ้าฉินสื่อหวังตี้

(น.169) มีหุ่นทหารอยู่กองหนึ่งทำผมเป็นมวย ไม่ใส่หมวกทั้งนายและพล มีผ้าพันผม ได้ยินเสียงท่านผู้หญิงมณีรัตน์บ่นพึมพำอยู่คนเดียวว่าคนหัวล้านจะเป็นทหารได้หรือเปล่า! ข้าพเจ้าถามว่าตอนที่เขาขุดขึ้นนั้น ต้องมีการถ่ายรูปหรือวัดขนาดหรือไม่ เขาบอกว่าเมื่อขุดขึ้นก็ต้องทำแผนที่ว่าอะไรอยู่ที่ตรงไหน วัดเนื้อที่ที่ขุด พิสูจน์ดินถ่ายรูปเป็นแถวๆ และถ่ายรูปแต่ละตัว วัดขนาน แต่เขาก็บอกว่าตอนถ่ายรูปและสเก็ตซ์รูป วัดขนาดตัวนั้นเขาไม่ได้ทำทุกตัว ทำเพียง


(น.170) รูป 84 ซีอาน ห้องพิพิธภัณฑ์ที่สุสานพระเจ้าฉินสื่อหวังตี้

(น.170) แต่ตัวอย่างและตัวที่น่าสนใจบางตัวเท่านั้น และเขียนรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร ปัญหาที่จะค้นคว้ามีหลายอย่าง เขาจึงทำสถานที่นี้เป็นสถานสำหรับคนมาดูและศึกษาได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 1979 เขาพาเราไปดูอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องโชว์ของที่มาจากหลุม มีวัสดุต่างๆ อาวุธซึ่งทำด้วยโลหะ และตุ๊กตาหุ่นบางตัวที่มีลักษณะน่าสนใจ

(น.171) ข้าพเจ้าถามเขาให้เล่าอีกทีเรื่องที่ชาวนามาพบหลุมนี้เข้า เขาเลยเล่ารายละเอียดว่าชาวนาในกองการผลิตของคอมมูนที่นี่เป็นคนพบในระหว่างการขุดบ่อน้ำ (อย่างที่คุณซุนหมิงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังแล้ว) ผู้พบก็รายงานรัฐ ทางการก็ให้รางวัลพอสมควรแก่ผู้พบ ย้ายหมู่บ้านออกจากบริเวณนั้น จัดให้ใหม่ และขุดบ่อให้ด้วย หมู่บ้านที่ย้ายออกไปก็ไม่ได้ย้ายห่างจากที่เดิม ฉะนั้นเขาจึงสามารถเอาลูกหลานของชาวบ้านในคอมมูนนั้นมาให้การศึกษาพิเศษในทางโบราณนคดี การซ่อมและดูแลรักษาโบราณวัตถุ มีหลายหลักสูตร บางคนก็ผ่านการศึกษาเป็นปี มีความรู้ดีมาก และกลายเป็นคอมมูนนักโบราณคดีไป สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าไปดูในตู้เป็นหัวธนู มีขนาดต่างๆ หัวทำด้วยสำริด ด้ามทำด้วยเหล็ก หัวธนูนี้เขาออกแบบให้ฆ่าคนได้อย่างดีกล่าวคือจะร่อง พอยิงถูกใครแล้วเลือดจะไหลออกมาตามร่องซึ่งเป็นอันตรายมาก เท่าที่ข้าพเจ้าทราบคนที่ถูกลูกศร ถูกไม้ทิ่มหรือถูกอะไรแหลมๆ ยาว พรรณนี้ เขาไม่ให้ดึงออก ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล ผ่าตัดทั้งอย่างนั้นเลย ถ้าไปชักออกแล้วเลือดออกผู้ป่วยจะตายเร็วกว่าที่ควร อีกตู้หนึ่งแสดงไกธนู เขาสันนิษฐานว่าในราชวงศ์ การยิงธนูไม่ต้องอาศัยแรงคน ใช้เครื่องกลเข้าช่วยเขาเอามาประกอบเป็นรูปธนูอย่างเดิมเป็นโมเดล ในตู้มีรูปวาดประกอบด้วย ดาบมีทั้งของจริงและจำลองให้เห็นสภาพเดิม เขาเอาชิ้นส่วนของดาบมาวิเคราะห์ดู ปรากฏว่าประกอบด้วยโลหะชนิดต่างๆ ถึง 13 ชนิด เป็นโลหะผสมที่แข็งมาก แถมยังมีเงา เพราะทาด้วยแร่

(น.172) ชนิดหนึ่ง ภัณฑารักษ์อธิบายว่าสมัยนั้นการหล่อโลหะเจริญแสดงให้เห็นว่าพระเจ้า ฉินสื่อหวังตี้ ทำให้จีนรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมีทหารเข้มแข็ง และมีอาวุธดีด้วย นอกจากนั้นมีง้าว ทำในรัฐ อู๋ ง้าวนี้คมทั้ง 2 ด้า อาวุธอีกอย่างใช้มือขว้าง ภัณฑารักษ์บอกว่าในหลุมที่ 3 เป็นที่ตั้งกองบัญชาการ ทุกคนในมือถือทวน เป็นไม้สูง 3 เมตร มีโลหะเสียบข้างบน เป็นอาวุธกองเกียรติยศ ที่หัวทวนมีตัวหนังสือสลักว่า “ทำจากโรงแสงของราชวงศ์ ฉิน” ว่าแล้วก็สรรเสริญพระจักรพรรดิต่อไปอีกว่าสมัยราชวงศ์ ฉิน นี้ทำให้อักษรจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เดิมแต่ละแคว้นก็ใช้อักษรอย่างหนึ่ง ตัวอย่างหนังสือราชวงศ์ ฉิน จะเห็นได้จากตามเสื้อของหุ่น เราดูอาวุธกันต่อไป มีพร้าสำริด ภุชชงค์บอกว่าพร้ารูปร่างอย่างนี้เคยพบในเมืองไทย ข้าพเจ้าถามว่าพบที่ไหน ก็บอกว่าไม่ทราบ เขาบอกว่าสำนักพระราชวังส่งมา ยังมีอาวุธอีกชนิดได้ยินว่าสำหรับเกี่ยวขาม้าให้ขาด ที่ฝาผนังห้องมีรูปวาดแสดงเครื่องแต่งตัวของหุ่น วาดภาพระบายสีให้เห็นว่าแต่ก่อนตัวหุ่นมีสีเป็นอย่างไร เขาบอกว่าหุ่นเหล่านี้เมื่อขุดได้ใหม่ๆ มีสีสันสวยงาม พอเอาขึ้นมาถูกแสงถูกลมอยู่ 10 กว่าวัน สีจะหายไป เขาได้ทดลองเอายาเคมีชนิดหนึ่งของจีน


(น.173) รูป 85 ภาพแสดงการแต่งตัวของทหารโบราณ เขาบอกว่าตอนขุดขึ้นใหม่ๆทหารแต่งเสื้อผ้าสีนี้ คนเม้มปากคือป้าจัน

(น.173) เคลือบไว้ บางส่วนพอรักษาสีไว้ได้แล้ว แต่ก็ไม่เหมือนเดิมทีเดียว ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการทดลองยาเคมี ซึ่วมีตัวยาผสมหลายอย่าง เขาบอกว่าบริเวณพิพิธภัณฑ์นี้จะต้องมีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศสตร์ด้วย ตอนนี้เขาพอรู้แล้วว่าสีที่สมัยโราณใช้ทำเป็นทำจากแร่อะไรบ้าง เขาพาเราไปอีกห้องหนึ่ง มีรูปหุ่นต่างๆ อยู่ใต้ตู้กระจก ที่แขนเสื้อยังเห็นรอยสีแดง (ซึ่งเขาเอายาเคมีป้ายแล้ว) ม้ามาจากหลุมที่ 2 สำหรับม้านี่น่าสนใจมาก เพราะทำรูปร่างส่วนสัดได้ดี ท่าทางมีชีวิตชีวา ที่น่าสังเกตคือหางม้า เขาม้วนไว้เป็นทรงต่างๆ เหมือนทรงผมคน ถามเขาว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาอบอกว่า ม้า

Next >>