<< Back
" ย่ำแดนมังกร วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2524 "
(น.280) รูป 127 เครื่องมือแกะสลัก สามารถแกะได้กระทั่งชิ้นเล็กนิดเดียว
(น.280) อ่านอักษรจีนออกก็พอจะอ่านได้ อาจารย์สารสินเขียนให้ตัวโตขึ้นอีกหน่อยไว้บนสมุดของข้าพเจ้า ตัวอาจารย์สารสินเองให้เขาแกะเป็นบทกวีบนสายนาฬิกาตัวกระจิ๋วหลิว แถมสายนาฬิกาเป็นสีเงินๆ มองก็ไม่เห็นชัด
อาจารย์จึงได้งานอดิเรกใหม่คือการเอาแว่นขยายส่องบทกวี จนบัดนี้อาจารย์ยังไม่เห็นแปลให้พวกเราฟังว่าบทกวีนั้นกล่าวถึงอะไร คนอื่น ก็ให้เขาสลักชื่อในแหวนหรืออะไรที่เล็กๆ
(น.281) ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย ทุกคนเลย shopping ต่อ ข้าพเจ้าซื้ออะไรต่อมิอะไรอีกนิดหน่อย ซื้อหนังสือเกี่ยวกับลุ่มแม่น้ำหวงเหอ และเกี่ยวกับศิลปะจีน อยากได้การ์ตูน ซานเหมา ของจีนแต่เขาหมดแล้ว เลยฝากท่านทูตซื้อ เป็นการ์ตูนที่วาดลีลาต่างๆ ของเด็กไว้ทุกท่า
ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ซื้อด้าย ผักปักรูปปลา ปักได้เรียบสวยมาก เรียบร้อยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
มีอีกอย่างที่ไม่รู้ว่าจะใส่ไว้ตรงไหนของเรื่อง ขอเอามาฝากไว้ตรงนี้แหละ ข้าพเจ้าสนใจว่าทำไมเขาเรียก “ปูเสฉวน” ว่า “ปูเสฉวน” เป็นสัตว์ทะเลที่ชอบอยู่ในเปลือกหอย เสฉวนเป็นแคว้นที่ไม่ได้ติดทะเลสักหน่อย
ถามคนแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้จักตัวดังกล่าวเลย ใครก็ไม่ทราบ ดูเหมือนจะเป็นหมอดนัยเล่าว่าในหนังสือความฝันในหอแดง มีกล่าวไว้ว่าวันดีคืนดีแม่สาวๆ ก็นัดกันมานั่งกิน “ปูขน” ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งที่อยู่ในแม่น้ำ ถือเป็นของหายาก
กินเฉพาะคนรวยๆ เท่านั้น แต่ปูขนนี้ปกติมีแถวเซี้ยงไฮ้เท่านั้น ข้าพเจ้าไม่เคยอ่านหนังสือนี้ เห็นเขามีขายอยู่เหมือนกัน ว่าจะซื้อมา เห็นมันโตนักตั้ง 3 เล่มจบ คงแบกไม่ไหวจึงไม่ซื้อ
เมื่อถึงเวลาคุณจางก็มารับเพื่อพาไปสนามบิน คุณจางบอกว่ามาคราวนี้ข้าพเจ้าก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับคนจีนบ้าง อีกหน่อยไทยและจีนคงจะได้มีการแลกเปลี่ยนทางด้านการเกษตรและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น
ได้ยินว่าจีนได้ส่งคนไปทำงานในภัตตาคารเมืองไทย 4 คน และจะส่งไปอีก 10 คน คุณดำรงรีบบอกว่ารู้แล้วล่ะ คุณเสริมนี่แหละเป็นคนจัดการภัตตาคารที่ว่านี้
(น.282) ข้าพเจ้าถามคุณจางว่าเคยทำงานอะไรมาก่อน เห็นรู้เรื่องต่างๆหลายอย่าง คุณจางบอกว่าเคยทำงานด้านดูแลเยาวชน (อายุ 15-28) มาก่อนสำหรับตัวเธอเองนั้นเมื่ออายุ 15 ได้เข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตเยาวชน
เมื่อสมัยก่อนปลดแอกได้ทำงานเป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษา ในสมัยต่อต้านญี่ปุ่นไปคัดค้านรัฐบาล เลยถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเมื่อปี 1945
ถึงสนามบิน เรากล่าวขอบคุณทุกคนที่ต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่พวกเรา
เป็นอันว่าเราจากเสฉวน ดินแดนแห่งวรรณกรรมอมตะ “สามก๊ก” เราไม่ได้ยินเรื่องสามก๊กมากนักในการเยือนครั้งนี้ แต่ว่าเรื่องอื่นๆ ที่ได้เห็นก็มีคุณค่าควรแก่การจดจำ
เครื่องบินจากเสฉวนไปคุนหมิงต้องผ่านภูเขามาก ข้าพเจ้าคุยกับท่านหวังหลายเรื่องเลยไม่ค่อยได้ชมทิวทัศน์ การบินครั้งนี้เป็นช่วงสุดท้ายที่เราจะได้นั่งไปพร้อมกับฝ่ายจีน แม้ว่าเครื่องบินจะพาเราไปส่งที่ฮ่องกง
ท่านรัฐมนตรีช่วยหวังคุยให้ฟังว่า หลี่ปิงสร้างชลประทานตูเจียงเอี้ยน ท่านรัฐมนตรีช่วยบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เดิมเป็นหนังยาว และแก้ไขย่อให้ดีแต่สั้นเข้า
ท่านหวังบอกว่าดีใจและเสียใจที่ข้าพเจ้ามาเมืองจีน ดีใจที่ทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เห็นเมืองจีนแต่ก็เสียใจที่ข้าพเจ้ามาน้อยเกินไป ไม่ได้เห็นเท่าที่ควร แต่ก็ไม่เป็นไร จีนทำหนังเกี่ยวกับการเกษตรมาก ถ้าต้องการเรื่องใดจะส่งให้ได้ ต้องจำเอาไว้ว่าจะคิด
(น.283) จะทำอะไรต้องไม่เหินห่างจากสภาพความเป็นจริง จะต้องหาความเป็นจริงสำหรับประเทศเรา ถ้ามุ่งเทคโนโลยีสูงนักก็ยังทำไม่ได้
ท่านหวังเล่าว่า เชื้อเพลิงบางประเทศใช้ปรมาณูมากำเนิดไฟฟ้าแต่ของเรา (จีน) นั้นมุ่งเอาแรงน้ำเป็นหลัก สำหรับการจะใช้ปรมาณูทำไฟฟ้านั้น มีความเห็นหลายอย่างไม่เหมือนกัน บางคนก็ต้องการให้ใช้ บางคนต่อต้าน
สภาพประเทศเราถือชาวนาและการเกษตรเป็นสำคัญ ถ้ารู้และเข้าใจเรื่องของชาวนาและเรื่องการเกษตรในชนบทแล้ว ก็เท่ากับรู้สภาพของประเทศจีน ถ้าเรารู้สภาพชาวนาดีๆ แล้ว ประเทศของเราจะสงบเรียบร้อย
ถ้ามองข้ามปัญหาเรื่องชาวนาหรือปัญหาพวกนี้จะเป็นอันตรายมาก เรามีชาวนา 800 ล้านคน ฉะนั้นสถานการณ์ของประเทศจะดีหรือไม่ดีก็ต้องดูสภาพชาวนาในชนบทอันนี้แขกต่างประเทศบางคนไม่เข้าใจ
ท่านหวังเชื่อว่าประเทศไทยคงจะมีสภาพแบบเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงส่งเสริมการเลี้ยงไหม และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เล่าพระราชทานข้าพเจ้าเรื่องที่พระราชินีจีนเป็นผู้ค้นพบวิธีการทอผ้าไหม ท่านหวังบอกว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เล่าถูกแล้ว คนจีนที่เลี้ยง
(น.284)ไหม มักจะต้องไหว้เจ้า และจะต้องมีศาลเจ้าไว้เป็นที่บูชา เจ้าองค์นั้นชื่อ เหลยจู่ หมายถึง พระราชินีองค์นั้น
การเกษตรมีความสำคัญเพราะคนต้องกินข้าวทุกวัน ไม่กินก็ไม่ได้ คนต้องใส่เสื้อผ้า ไม่เป็นสำคัญ ใส่ก็ไม่ได้ การเกษตรจะต้องมีเรื่องของวิทยาศาสตร์ จะต้องคำนึงถึงปัจจัย 4 ประการ
1. พันธุ์ข้าว
2. ปุ๋ย
3. น้ำ
4. ดิน
ฉะนั้นบางแห่งแม้ว่าจะเป็นดินที่เหมือนกัน แต่ผลเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกัน เพราะปัจจัยตัวอื่นต่างกันถือว่าการชลประทานสำคัญที่สุด
ในเครื่องบินเขาแจกปากกาและพัด ในตอนแรกเขาแจกหนังสือของเครื่องบิน ซึ่งมีเรื่อง คุนหมิง และ ยูน นาน ด้วย ตอนที่เขาแจกพัดนั้น ท่านหวังควักพัดเก่าๆ ขึ้นมา คุยอะไรก็ไม่ทราบกับแอร์โฮสเตส เห็นหัวเราะกันคิกคัก
ว่าแล้วก็เอาพัดนั้นให้ข้าพเจ้าดู บอกว่ามีลายเซ็นด้วย แล้วบอกว่าแอร์โฮสเตสคนเดียวกันนี้เซ็นไว้ให้ท่านเมื่อ 8 ปีมาแล้วเรานึกในใจว่าท่านรัฐมนตรีช่วยนี่เก็บของเก่งจริง
แอร์โฮสเตสบอกว่าปรอทที่คุนหมิง 23 ํ เซลเซียส ถึง คุนหมิงเวลา 17.45 น.
ที่คุนหมิงนั้นพอมองปุ๊บเดียว เห็นว่าคล้ายไทยทางภาคเหนือแต่บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างไม่ค่อยเหมือนกัน
ที่สนามบินมีคนมาต้อนรับเยอะแยะ ผู้ที่นั่งรถกับข้าพเจ้าจากสนามบินถึงบ้านพักวันนี้เป็นประธานคณะกรรมการปฏิวัติ (หรือเท่ากับนายกเทศมนตรี) แห่งคุนหมิง ชื่อ คุณหลี่หยวน ท่านหลี่หยวนเป็นคนร่าเริง พูดไปหัวเราะไป ผิวค่อนข้างคล้ำ ไม่
(น.285) รูป 128 ถนนเมืองคุนหมิง
(น.285) เหมือนคนจีนทางเหนือๆ ก่อนอื่นข้าพเจ้าถามที่สงสัยว่าข้าพเจ้าไปตั้งหลายเมืองแล้วไม่เห็นมีที่ไหนเขามีกรรมการปฏิวัติ ท่านประธานหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลางอธิบายว่า
ชื่อนี้เป็นชื่อเก่าสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม ต้องปิดประชุมสภาเสียก่อนจึงจะเปลี่ยนเป็นเรียกนายกเทศมนตรี จะเปิดสภาปีนี้ ของมณฑลเปิดประชุมสภาไปแล้วเดี๋ยวนี้เรียกว่าผู้ว่าราชการมณฑล
พาหนะของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นรถเทียมม้าหลายแบบ มีเทียม 1 ตัว เป็นม้าแกลบเทียมล่อ เทียมลาก็มี มีเหมือนกันที่เทียม 3 คือเทียมม้าแกลบคู่และเทียมล่อ (ตัวโตกว่า) อยู่ข้างหลัง
(น.286) รูป 129 บ้านพักที่คุนหมิง คุยกับพี่อู๋
(น.286) ท่านประธานฯ บอกว่าตอนนี้เข้าหน้าฝน อากาศเลยค่อนข้างร้อน เมื่อข้าพเจ้าถามถึงพืชเพาะปลูกในคุนหมิง มีข้าวเจ้า ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง และ.........ท่านประธานหันมาตะโกนแบบค่อยๆ ว่า “โปเตโต้” 2
ครั้งแล้วหันไปบอกคุณเฉินเป็นภาษาจีน คุณเฉินเลยร้องว่า อ๋อ มันฝรั่ง สำหรับข้าวเจ้าและผักต่างๆ ปลูกหน้าร้อน ปลูกได้ 2 ครั้ง หน้าหนาวปลูกข้าวสาลีและถั่ว
รถผ่านสำนักงานที่ทำการรัฐบาลมณฑล ซึ่งประธานฯ ก็ชี้ให้ดู
พอดีถึงบ้านพักซึ่งท่านประธานบอกว่าใช้ต้อนรับแขกต่างประเทศสำหรับประเทศไทยเคยต้อนรับท่านนายกเปรม คืนนี้จะมีเลี้ยงในบริเวณนี้
บ้านพักเป็นบ้านเล็กๆ แยกเป็นตึกๆ สวยงามและน่าสบายทุกหลัง สวนก็สวยมีดอกไม้หลายอย่าง หน้าบ้านมีกรงหมา มีหมาคล้ายๆ อัลเซเชียน (อาจจะใช่) 1 ตัว อยู่ข้างใน หลังที่ข้าพเจ้าอยู่นั้นชั้นบนมีข้าพเจ้า ป้าไล ป้าจัน คุณออม คุณแป๊ว มีห้อง
(น.287) ว่างอยู่ห้องหนึ่ง คุณดำรงก็เลยอยู่ ข้างล่างมีห้องของคุณฟ่าน คุณเฉิน ห้องหนึ่ง และท่านผู้หญิงทั้งสองอยู่ห้องเดียวกัน อีกหลังหนึ่ง แอ๋ว อารยา ทิพย์ ตุ๋ย อยู่ มีพวกจีนที่เหลือด้วย อีกหลังมีคุณเสริม กสิณ และ เปาะ ส่วนอาจารย์สารสินกับภุชชงค์และทีมสถานทูตอยู่โฮเต็ล
นอกจากห้องนอนแล้ว ข้าพเจ้ายังมีห้องเขียนหนังสือ ซึ่งเขาเตรียมเอกสารอธิบายเกี่ยวกับเมืองคุนหมิง และมณฑลยูนนานพร้อมทั้งสถานที่สำคัญต่างๆ ซึ่งเราจะได้ไปดู ข้าพเจ้าเซ็นชื่อพร้อมทั้งเขียนว่า
ขอให้มีมิตรภาพไทย-จีนจงสถิตสถาพร ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าจากคุนหมิงเราก็จะกลับสู่ประเทศไทย บ้านเกิดเมืองนอนของเรา ซึ่งอันที่จริงแล้ว มณฑลยูนนานอยู่ห่างจากประเทศไทยเพียงไม่กี่กิโลเมตร พวกชาวเขาของเราเดินเท้าจากยูนนานมาสู่ประเทศไทยได้
เมื่อถึงเวลาพวกเราก็ไปที่ห้องเลี้ยงรับรองในบริเวณที่พัก เป็นอาคารอย่างจีน เสาแดงๆ คล้ายๆ เก๋งจีนเมืองไทย ขบวนทั้งหมดและการจัดดอกไม้ที่นี่สวยที่สุด สมกับนามฉายาว่าเมืองนี้เป็นนครแห่งดอกไม้ บนโต๊ะอาหารและบนเวทีข้างหลังจัดดอกไม้ไว้เต็มไปหมด คล้ายๆ กับดอกไม้ภูพิงค์ เมนูอาหารวันนี้หน้าปกทำเป็นรูปช้าง
วันนี้ท่านผู้ว่าราชการมณฑลยูนนานเป็นเจ้าภาพ ดนตรีที่เปิดวันนี้ส่วนใหญ่เป็นดนตรีไทย มีเพลงเขมรไทรโยค เป็นต้น ถึงเวลาที่จะกล่าว speech เขาก็หรี่เพลง คำกล่าวตอบวันนี้ตอนสุดท้ายจบด้วยกลอนภาษาจีน ซึ่งอาจารย์สารสินเป็นผู้แต่ง และ
(น.288) เขียนให้ข้าพเจ้า (ด้วยอักษรไทย) ข้าพเจ้าร้องอุทธรณ์ว่าต้องมาซ้อมให้ก่อนนะ เดี๋ยวออกเสียงไปผิดๆ เชยๆ และการอ่านกลอนเขาก็ต้องมีวิธีพิเศษอีก ไปอ่านไม่มีจังหวะจะโคน คนจะฟังไม่ออกว่าเป็นกลอน ตอนหลังมันมีงานยุ่ง
ไม่มีเวลาจะซ้อม ก่อนงานข้าพเจ้าปรารภกับคุณดำรงว่าจะทำอย่างไรดี เกือบจะโทรศัพท์ไปโฮเต็ลเสียแล้ว พอถึงเวลาจริงๆ ก่อนพูด อาจารย์สารสินมาบอกว่าไม่เป็นอะไรให้อ่านช้าๆ เอาไว้ พออ่านจบปรากฏว่าเป็นที่พอใจของฝ่ายจีน แต่ฝ่ายไทยคัดค้านเพราะอาจารย์สารสินผู้ชินต่อการแปลไทยเป็นจีน ลืมที่จะแปลจีนเป็นไทย !
วันนี้การสนทนาออกรสที่สุดเท่าที่เคยมา รู้สึกว่าหัวเราะกันเฮฮา จนกระทั่งคนโต๊ะอื่นมาปรารภทีหลังว่าคราวนี้แปลกที่โต๊ะเสวยดังกว่าใครเขาเพื่อนเลย โดยปกติมักจะเฉยๆ
ท่านผู้ว่าฯ ทักทายกับท่านหวังเป็นการใหญ่ เพราะเคยร่วมเดินทางไกล Long march ด้วยกัน แถมอยู่กองทัพเดียวกันด้วย ยังมีเรื่องน่าตื่นเต้นอีกเรื่อง คือคุณพูนเพิ่มกับภรรยาท่านประธานปฏิวัติเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียว ปีเดียวกัน จึงดื่มอวยพรกันใหญ่
ท่านผู้ว่าฯ เล่าว่า ผู้ที่สร้างที่พักแห่งนี้เป็นผู้ว่าราชการมณฑลคนก่อน รู้จักกับท่านผู้ว่าฯ ดี เสียชีวิตไปแล้ว
คนที่มาชนแก้วกับข้าพเจ้ามีอีกคน เคยเจอกันที่กรุงเทพฯ แล้ว ตอนที่เขาพานาฏศิลป์ยูนนานมาแสดง อีกคนหนึ่งเป็นรองผู้ว่าราชการมณฑลยูนนาน ชื่อ เตากว๋อตง ซึ่งท่านมาบอกว่าจริงๆ แล้วท่านเป็นคนชนชาติ ไต่ ชื่อจริงชื่อท้าวราชวงศ์ คนจีน
(น.289) รูป 130 ที่คุนหมิง
(น.289) เห็นคน ไต่ มีชื่อเรียกนำว่า ท้าว เลยเกณฑ์ให้ทุกคนถือ แซ่เตา ท่านลุกขึ้นมาจากอีกโต๊ะหนึ่งมาชนแก้วกับข้าพเจ้าอวยพรว่าให้ “อยู่ดีกินหวาน” แล้วบอกให้ดื่มหมด ดูเหมือนท่านผู้นี้จะเคยแปลบทความ และบทกวีจีนเป็นภาษา ไต่
ท่านผู้ว่าฯ เล่าอีกอย่างหนึ่งว่า ตนเองมาจาก กังไส หัวเมือง จิ่ง เต๋อ เจิ้น เป็นสถานที่ทำเครื่องเคลือบได้ดีมาก เขาเรียกกันว่านครหลวงแห่งเครื่องเคลือบ blue and white
(น.290) รูป 131 กล่าวตอบที่คุนหมิง (วันกินตุ๊กแก)
(น.290) ต่อไปนี้จะเล่าเรื่องที่เป็นจุดสำคัญของงานคืนนี้ คือเรื่องการกิน.....อาหารอย่างแรกเป็นออร์เดิฟซึ่งปรุงรสพิเศษแบบยูนนาน อย่างที่สองเป็นเอ็นกวางปั้นก้อนไก่ยัดไส้ข้าวเหนียว ปรุงรส 8 อย่าง (มีเม็ดผักชี ขิง และอะไรอีกก็ไม่รู้)
เห็ดสดต้มเค็ม อีกอย่างเป็นอะไรก็ไม่รู้ เรียกว่า Yunnan Spring Rolls ต่อไปเป็นสตูว์ขาไก่ ปลากับซ้อสถั่ว รายการต่อไปนั้นเขาเขียนในเมนูว่า braised dog meat หรือ หมาต้มเค็ม อาหารจานนี้ก่อให้เกิดความวิพากษ์วิจารณ์กันมาก
ในโต๊ะมีปีจอตั้ง 5 คนคือคุณพูนเพิ่ม ท่านหญิงมณีรัตน์ ท่านประธานกรรมการปฏิวัติ และภรรยา และอาจารย์สารสิน (คนละรอบ) ท่านผู้หญิงมณีรัตน์อ้างว่าเป็นคนปีจอจึงไม่ยอมรับประทานหมา
ท่านผู้หญิงสุประภาดาบอกว่าเป็นรักหมา แม้ไม่ใช่คนปีหมาก็ไม่อยากจะกินหมา ส่วนคนอื่นนั้น แม้จะปีหมาแต่ก็เห็นเคี้ยวหมาตุ้ยๆ
(น.291) รูป 132 จับตุ๊กแก (เป็น) ก่อนกินตุ๊กแก (ที่ตายแล้ว)
(น.292)รูป 133 ถืกตุ๊กแก โปรดสังเกตว่าในชามตรงหน้าคือซุปตุ๊กแก
(น.292) ตัวข้าพเจ้าเอง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้กินหมา (อย่างเป็นทางการ) จึงไม่ตื่นเต้นเท่าที่ควร ครั้งแรกนั้นข้าพเจ้ารับประทานตอนที่ไปโครงการชลประทานแถวๆ จังหวัดเชียงราย มีพวกฮ่อเขาไปซื้อหมาของอีก้อ
แล้วต้มเค็มกับเครื่องยาจีนซึ่งเขาบอกว่าแพงมากตอนนั้นข้าพเจ้ารับประทานไป 5 ชิ้น รู้สึกว่าไม่อร่อยเป็นพิเศษเพราะเนื้อหมามีลักษณะคล้ายๆ เนื้อหมู มีมันมากกว่า แล้วเหนียวด้วย เนื้อหมาที่จีนอร่อยดีมาก ไม่เหนียว รสกลมกล่อม ข้าพเจ้าจึงรับประทานหมดจาน คนที่ดีใจว่าได้รับประทานหมาอีกคนคือ
Next >>