Please wait...

<< Back

ซีอาน

จากหนังสือ

ย่ำแดนมังกร
ย่ำแดนมังกร หน้า 48,49

(น.48) พัดมาแรงๆ อากาศจะเต็มไปด้วยฝุ่นทราย ที่พื้นนั้นทรายหนาถึง 2 เมตร มืดไปหมดต้องเปิดไฟกลางวันแสกๆ แม้ขณะนี้การปลูกป่ายังไม่พอเลย ท่านอธิบดีเสิ่นผิงเคยไปอยู่แถวๆ นั้นในระหว่างสงคราม บอกว่าถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสมาประเทศจีนครั้งหน้าควรจะหาโอกาสไปเที่ยวทะเลทรายโกบีเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ไม่เหมือนกับที่อื่น คือมีหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ เม็ดทรายที่ทับถมกันหลายหมื่นปี จะเป็นที่ราบกว้างขวางหลายสิบกิโลเมตร เป็นทางแข็งๆ จนกระทั่งเวลาจะสร้างถนนไม่ต้องทำอะไรมากแค่วาดเขตว่าตรงนี้จะให้เป็นถนนก็พอ ในบางส่วนแห้งแล้งยากลำบากมากไม่มีน้ำ ไม่มีหญ้า ไม่มีต้นไม้ เวลาคนไปอยู่ก็เจาะน้ำบาดาลแถวใกล้ๆ ภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม ชาวนาที่ไม่มีดินจะไปบุกเบิกที่รกร้างว่างเปล่านี้ เวลาจะปลูกข้าวเขาขุดเอาน้ำบาดาลเป็นอุโมงค์ข้างล่างเป็นคูยาวหลายกิโลเมตร ที่ยาวที่สุดนั้นคือยาวถึง 30 กิโลเมตร น้ำเย็นและใสมากไหลจากภูเขาหิมะ การที่ต้องเอาน้ำไว้ใต้ดินก็เพราะเกรงว่าน้ำจะสูญเสียได้ด้วยการระเหย ท่านชี้ว่าในกรณีนี้จะเห็นว่าปัญญาของประชาชนมีมาก จึงสามารถต่อสู้กับธรรมชาติเพื่อการอยู่รอดได้ พูดถึงแม่น้ำเหลืองท่านยกตัวอย่างว่าแถวๆ ซีอาน นั้นภูมิประเทศเป็นภูเขาดินสูง แต่ก่อนมีต้นไม้ปกคลุมอยู่เต็ม ต่อมาเกิดสงคราม การต่อสู้ รวมทั้งภัยธรรมชาติ ทำให้ต้นไม้ถูกทำลายไปมาก ดินไหลลงแม่น้ำ ยิ่งเวลาฤดูร้อน น้ำกับดินไหลปนกันทำให้น้ำกลายเป็นน้ำโคลนไปอย่างที่ว่า ท่านเคยเห็นที่ เยนอาน ในมณฑลส่านซี (ห่างซีอานราว 400 กม.) ตอนนั้นญี่ปุ่นยึดครองจีนอยู่ ฝ่ายจีน

(น.49) มีทั้งท่าน เหมาเจ๋อตุง และท่านโจวเอินไหล ขุดถ้ำอยู่กันที่นั่นถึง 7 ปี ตอนนั้นไปตั้งฐานกำลังถึงกับตั้งโรงเรียน มีนักเรียนถึง 4 หมื่นคน เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้พอดีรถออกไปถึงนอกเมือง บรรยากาศดีมาก สองฟากถนนเขาปลูกต้นไม้สวยร่มรื่น ออกมานอกเมืองนี่รถไม่มีมาก คนธรรมดาเขาก็ขี่จักรยาน บางคนมีจักรยานยนต์ก็เอารถอะไรก็ไม่ทราบพ่วงข้างๆ ไว้อีกคันด้วย มีรถเทียมม้า เทียมวัว รวมความแล้วเห็นพาหนะหลายอย่าง ชานเมืองเขาปลูกผักกันมาก ผักกาดของเขางามดี หัวโตเบ้อเริ่ม ถามดูอธิบดีอธิบายว่าปลูกผักนี้เขาใช้น้ำบาดาล ขุดเป็นบ่อเอาเครื่องสูบน้ำสูบขึ้นมาแถบๆ ที่รถผ่านนี้ มีอ่างเก็บน้ำซึ่งจะเอาน้ำมารดได้ถึง 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ข้าพเจ้าสงสัยว่าคนจีนในเมืองจีนนี่เขารดน้ำผักกันอย่างไร จะเมือนพวกคนจีนทำสวนผักในเมืองไทยที่ทำร่องมีน้ำในน้ำร่องเขาก็ปลูกข้าวเป็นแถว คนที่เก่งๆ เขาเอาพวยมีด้ามยาวๆ วิดน้ำเป็นฝอยๆ ถ้าทำไม่เป็น (อย่างข้าพเจ้า) น้ำจะลงมาเป็นก้อนๆ ผักเน่าตายหมด ท่าเสิ่นผิงบอกว่า จีนปลูกผักเดี๋ยวนี้มีวิธีสองอย่าง คือทำร่องแบบโบราณ อีกอย่างหนึ่งก็ใช้เครื่องพ่น (Sprinkler) จีนปลูกข้าวสาลีหนึ่งในสามธัญญาหารทั้งหมด อีกสองในสามปลูกข้าวเจ้า และธัญญาพืชอื่นๆ ข้าวสาลีจะปลูกมากทางเหนือๆ แถวซีอาน ใน เสฉวน แถวเมือง เฉิงตู ปลูกข้าวเจ้า พูดถึงปุ๋ย ท่านคุยว่า การเลี้ยงหมูนั่นแหละดี “มูลฝอยหมู” (นี่จดตามล่าม) นี้ใช้ได้ประโยชน์มาก หมู 1 ตัว ปลูกพืชได้ 2.4 โหม่ว (= 1/15

ย่ำแดนมังกร หน้า 145,149,150,151,152,157,158,159,161,163,164,170,179,180,191,193,194

(น.145) ศตวรรษทีเดียว
หลังจากนั้นท่านหันก็เล่าถึงเมืองต่างๆ ที่ข้าพเจ้าจะได้ดูบอกว่า เฉิงตู เป็นเมืองเก่า มีกวีจำนวนมากเขียนบทกลอนพรรณนาเอาไว้ ท่านยกตัวอย่าง มีกวีสมัยฮั่นชื่อ หยางฉยุง (เขียนถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้) หลี่ไป๋ ไป๋จูอี้ ตู้ฝู่ กวีสมัยราชวงศ์ ถัง และ ซูตงโพ กวีสมัยซ้อง ที่ เฉิงตู (นครหลวงของมณฑลเสฉวน) ยังมีที่พักของ ตู้ฝู่ และ หลี่ไป๋ จีนมีหนังสือรวมบทกวีของกวีหลายสมัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งราชวงศ์ถัง ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าเคยอ่านบทกวีจีนที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าเขาจะแปลได้ตรงหรือไม่ แต่ก็เห็นว่ามีความไพเราะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทที่กล่าวถึงธรรมชาติ มีความละเอียดอ่อนมาก สำหรับมณฑลเสฉวนนั้นท่านว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ฯพณฯ เติ้งเสี่ยวผิง ก็เป็นคนเสฉวน ท่านนายกจ้าวจื่อหยางก็มามีชื่อเสียงที่เสฉวน เสฉวนมีทรัพยากรมาก มีแร่มาก ดีสำหรับการยกระดับของประชาชน ซึ่งต้องให้เศรษฐกิจพัฒนา อากาศที่เฉิงตูดีมาก ที่ซีอาน เฉิงตูอากาศไม่หนาว ที่ซีอานก็มีของน่าดูหลายอย่าง เช่น หุ่นจำลองรูปทหารจากสุสาน คนโบราณสร้างเก่งมา สมัยนี้แม้จะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ยังทำอะไรอย่างเก่าไม่ได้ ข้าพเจ้าถามว่า การที่วัฒนธรรมบางอย่าง (หรือวิชการ) ที่ไม่ส่งผ่านถึงคนรุ่นหลังและไม่ได้มีการพัฒนา จะเป็นเพราะคนจีนมักจะหวงวิชาใช่หรือไม่ ท่านหันบอกว่าเดี๋ยวนี้ยังค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย ไม่ค่อยหวงวิชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านหันฟังถึงว่าคนไทยก็มีการหวงวิชาเหมือนกัน ส่วนมากเขาจะบอกว่าวิชาเกิดแต่ตัวเขา ฉะนั้นจะต้องตายกับ

(น.149) เครื่องบินถึงซีอานเวลาประมาณ 11 โมงเศษ อุณหภูมิที่ซีอานเวลานี้ประมาณ 20 ํC มีนายกเทศมนตรีซีอานมารอรับพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ต่างๆ เช่น หัวหน้าสำนักงานวิเทศสัมพันธ์ของมณฑล ผู้แทนสภาสตรีของมณฑล ฯลฯ เขาเอารถมารับเพื่อไปที่บ้านพักรับรอง ข้าพเจ้านั่งรถมี “เตี่ย” คนใหม่เป็นผู้ขับ มีคุณฟ่าน คุณเฉิน คุณดำรง เป็นทีมเดิม ผู้ที่นั่งรถและคอยอธิบายอะไรต่อมิอะไรที่ซีอานนี้คือคุณ ซุนหมิง รองหัวหน้าสำนักงานวิเทศสัมพันธ์ของมณฑลส่านซี คุณซุนหมิงแม้ว่าจะดูหน้าตาเฉยๆ แต่ก็ช่างเล่า และมีความรู้ดี เมื่อข้าพเจ้าถามอะไรมากๆ ก็ควักเอาสมุดปกเขียวทำนองว่าเป็น guide book ออกมากางอ่านเอาทีเดียว ที่ ซีอาน นี้มองเห็นมีการเพาะปลูกมากทีเดียว ตลอดทางจากสนามบินถึงบ้านพักเห็นนาข้าวสาลีปลูกมาจนถึงขอบถนน คุณ ซุนหมิง บอกว่าอีก 3 อาทิตย์ก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว สำหรับต้นไม้ข้างถนนก็เป็นเรื่องที่เราสรรเสริญกันมิได้หยุดหย่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้หญิงมณีรัตน์ ถึงกับมากำชับข้าพเจ้าว่า ถ้าจะเขียนเรื่องเมืองจีนหรือไปพูดที่ไหนอย่างลืมเรื่องต้นไม้ที่เขาปลูกเป็นชั้นๆ เตรียมเผื่อขยายถนน (บางทีตั้งสามชั้น) และการตัดแต่งต้นไม้ให้แตกงามอยู่เสมอ คุณซุนหมิงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มณฑลส่านซีนี้มีแม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำเว่ยเหอ ซึ่งมีความแปลกอยู่ที่แม่น้ำสายนี้มีสาขาสองสาย สายหนึ่งมีสีเขียว อีกสายหนึ่งเป็นสีเหลือง ลืมถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น สีเหลืองคงเป็นเพราะดิน (เหมือนสีแม่น้ำหวงเหอ แม่น้ำนี่

(น.150) ก็เป็นสาขาแม่น้ำหวงเหอด้วย) สีเขียวคงเป็นพืชแขวนลอยอย่างหนึ่งจำพวกสาหร่าย (นี่แต่งเองนะ) กล่าวถึงน้ำสีเขียวเหลืองทำให้นึกถึงหนังสือเรื่องกามนิต ที่ว่าแม่น้ำคงคาและแม่น้ำยมุนานั้นสีเหลืองและเขียวรวมกันบ้างแยกกันบ้าง เปรียบเหมือนวรรณะพราหมณ์และวรรณะกษัตริย์ ที่บางครั้งก็มีความแตกแยกกัน...อ้าว...ทำไมพูดเรื่องเมืองจีนอยู่ดีๆ แล้วไถลไปเมืองอินเดียได้ แม่น้ำ เว่ยเหอ นี้ไหลจาก กานซู หลังจากนั้นคุณซุนหมิงก็ “บรีฟ” เกี่ยวกับเมืองซีอานและสถานที่ต่างๆ ซึ่งข้าพเจ้าพยายามจดเอาไว้ อาจจะวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่บ้างก็ขออภัยเป็นครั้งที่ 2 เขาว่าเมืองซีอาน เคยเป็นเมืองหลวงของจีนมาหลายยุคหลายสมัย กว่าสองพันปีมาแล้ว จนถึงราชวงศ์ ถัง เคยมีจักรพรรดิอยู่ถึง 11 ราชวงศ์ มีซากเมืองโบราณสมัย โจว ฉิน ฮั่น ถัง และ เหม็ง เมืองปัจจุบันเป็นเมืองสมัย เหม็ง แต่ก่อนนี้เมือง ซีอาน เรียกกันว่า ฉางอัน หรือ เฉี่ยงอาน ในภาษาแต้จิ๋ว ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ ซีจิง ภายหลังที่ย้ายนครหลวงไป ปักกื่ง แล้วมีบางคนเรียกเมืองปักกิ่งว่าฉางอานด้วย ปัจจุบันนี้ซีอานเป็นเมืองสำคัญของจีนในตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นศูนย์กลางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการคมนาคมของมณฑล ส่านซี อุตสาหกรรมหลักของเมืองซีอานคือการทอผ้า และอุตสาหกรรมเบาโดยทั่วไป เครื่องจักรมีอยู่บ้าง สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าแก่การชมมี ต้าเอี้ยนถ่า (เจดีย์ห่านใหญ่) ซึ่งเราจะได้ไปชมในวันรุ่งขึ้น และเรายังจะได้ดู

(น.151) สุสานของ ฉินซีหวั่งตี้ หวาชิงฉือ (สระน้ำ หวาชิง) ซึ่งเป็นบ่อน้ำร้อนที่เราจะได้ไปดู พิพิธภัณฑ์ยุคหินที่ ป้านโพ มณฑล ส่านซี นี้คนทำการเกษตรมีการปลูกข้าวสาลี ข้าวโพด ฝ้าย มณฑลนี้มีสภาพแปลกคือ มีภูเขา ฉินหลิ่ง หรือ เหลียงซัน ตัดมณฑลออกเป็น 2 ตอน ตอนกลางๆ ดินฟ้าอากาศอุดมสมบรณ์ดีที่สุด มีข้าวสาลีและฝ้าย (ตรงเมือง ซีอานเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ) ทางใต้ที่ติดกับมณฑล เสฉวน มีสวนคล้ายภาคใต้ของจีน คือมีข้าวเจ้าและผลไม้ บนภูเขามียาสมุนไพรมาก มีสัตว์ป่ามีค่า เช่น หมีแพนด้า ลิงขนสีทอง ชาวภาคใต้ยังปลูกหม่อน เลี้ยงใหม ปลูกส้มโอ ข้าพเจ้าถามว่าแล้วที่ซีอานนี้มีอะไรอีก คุณซุนหมิงเลยเล่าต่อเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง (ตามแต่จะคิดได้) ว่ายังมีหอระฆัง จงโหลว มีแต่ราชวงศ์ ถัง หอปัจจุบันสร้างในศตวรรษที่ 16 บูรณะในศตวรรษที่ 18 ศุง 68 ฟุต สมัยก่อนใช้เป็นสัญญาณเตือนภัย ต่อมาใช้บอกเวลาเปิดประตูเมือง 4 ทิศ มีหอกลอง สมัยราชวงศ์ เหม็ง (ทำด้วยไม้) บอกเวลาประตูปิด มีที่น่าดูอีกแห่งคือ สุสานราชวงศ์ ถัง หรือสุสาน เฉียนหลง เป็นฮวงซุ้ยของจักรพรรดินี อู่เจ๋อเทียน หรือที่คนไทยเรียกว่า บู่เช็กเทียน และฮวงซุ้ยบุคคลอื่นๆ ทางจีนจะเปิดค้นคว้าสุสาน อู่เจ๋อเทียน เร็วๆ นี้ บริเวณฮวงซุ้ยมีศิลาจารึก รูปปั้นหิน มีฮวงซุ้ยใต้ดิน แห่งหนึ่งเปิดแล้ว ทางการจีนได้นำวัตถุที่พบแสดงในพิพิธภัณฑ์แต่เราไม่มีเวลาได้ดู รถแล่นผ่านตึกต่างๆ ซึ่งคุณซุนหมิงอธิบายว่า เป็นตึกใหม่ๆ สร้างขึ้นหลังสมัยปลดแอกทั้งนั้น ผ่านประตู เหอผิงเหมิน หรือ

(น.157) ในห้องอาหารมีโต๊ะ 3 โต๊ะ มีรูปเขียนแบบจีนประดับฝาผนังห้องของจีนทุกห้องจะมีรูปเขียนแบบจีน บางห้องเป็นภาพรูปภูเขาสูงๆ มีแม่น้ำตัดกลาง แต่เป็นรูปทางยาวซึ่งค่อนข้างจะหายากข้าพเจ้าชี้ให้คุณแป๊วดูรูปต่างๆ เพราะคุณแป๊วบ่นตั้งแต่อยู่ปักกิ่งแล้วว่ามีคนฝากซื้อรูปจีน โดยจะเอาเป็นรูปวิว แต่ไม่เอารูปต้นไผ่กับเก๋งจีนสองอย่างเพราะเบื่อแล้ว จนแล้วจนรอดคุณแป๊วก็ยังเลือกไม่ได้ จนข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าวาดรูปกุ้งให้ดีกว่า อาหารกลางวันมื้อนี้มีกุ้งชุปแป้งทอด แห้วผัด เห็ดหูหนู ปลาเปรี้ยวหวาน (จีนเรียกว่า ถังชู่หยู หรือปลาทอดกรอบราดซอสหวาน) ไก่คลุกไข่ขาวผัด ก้านดอกกระเทียมผัดกุนเชียงของหวานมีลำไยกระป๋องลอยแก้ว น้ำส้มขวดของเมืองนี้รสไม่เหมือนกับที่ปักกิ่ง และไม่ค่อยเหมือนน้ำส้มเท่าไร ใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าเป็นน้ำส้ม ข้าพเจ้าถามคนเสิร์ฟเขาก็บอกว่าเป็นน้ำส้ม ก็ยังนึกว่าฟังผิด พออาจารย์สารสินมา ให้อาจารย์ถามเขาก็บอกว่าน้ำส้ม อาจารย์สารสินเล่าว่าฉางอานเมืองเก่าใหญ่กว่าปัจจุบันนี้มาก (ประมาณ 7 เท่า) และญี่ปุ่นที่สร้างเมือง นารา ก็มาลอกแบบเมืองและรับวัฒนธรรมจากจีนที่ซีอานนี้ ฉะนั้นใครอยากจะดูว่าเมืองซีอานเก่าเป็นอย่างไรให้ไปดูนารา ต่อมาเราคุยกันเรื่องผี เพราะบ้านพักนี่ใหญ่โต พวกเราก็อยู่กันคนละบ้านด้วย แต่ละบ้านก็ไกลกัน น่ากลัวผีหลอก ภาษาจีน กุ่ย แปลว่า ผี พ่ากุ่ย แปลว่า กลัวผี ข้าพเจ้าบอกคุณหญิงว่าระวังให้ดีอยู่บ้านโน้นกับ ต้าสื่อ สองคนระวัง กุ่ย จะมาหาแล้วถามอาจารย์สารสินว่าอาจารย์ไม่ พ่ากุ่ย หรือ กุ่ยจีน คงมาหา

(น.158) อาจารย์แน่ๆ เพราะรู้เรื่องภาษาจีนอย่างดีอยู่คนเดียว พวกพนักงานเสิร์ฟพลอยหัวเราะไปกับเราด้วย เพราะฟังออกว่าเราพูดเรื่องอะไรกัน กินข้าวเสร็จแล้วข้าพเจ้าเตรียมการเซ็นหนังสือสองชุด สำหรับผู้ว่าการมณฑลส่านซี และนายกเทศมนตรีเมืองซีอาน และจัดการผูกโบว์ให้เรียบร้อย ประมาณบ่ายสองโมงคุณซุนหมิงก็มารับไปดูรายการภาคบ่ายต่อไป เขาอธิบายให้ข้าพเจ้าว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังปรับปรุงให้ซีอานเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวมาได้ เมื่อปีที่แล้วก็สร้างโรงแรมสูง 13 ชั้น เพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่พักของคนมาเที่ยว

(น.159) ที่หมายแรกของเราเป็นสุสานของพระจักรพรรดิฉินสื่อหวังตี้ คุณซุนหมิงก็เล่าเรื่องว่า ในปี 1974 ชาวนาขุดบ่อน้ำก็พบสุสานนี้เข้าจึงรายงานทางการ จึงมีการขุดค้นขึ้น พงศาวดารบันทึกไว้ว่ามีสุสานแต่ก็ไม่ได้บันทึกไว้ว่ามีหุ่นกองทัพขนาดใหญ่ฝังไว้ด้วย (ตอนนี้ทำให้นึกถึงที่อยุธยา กรมศิลปากรเขาอ่านเอกสารพรรณนาถึงกรุงศรีอยุธยา และพระราชวัง แล้วขุดลงไปตรงพระราชวังปรากฏว่าพบอะไรต่อมิอะไรอีกมาก ต้องตามจดหมายเหตุที่จดไว้และยังมีเพิ่มเติมกว่านั้นไปอีก)


(น.159) รูป 78 วิวข้าวถนนซีอาน

(น.161) “เตี่ย” ของซีอานขับรถช้าพอๆ กับเตี่ยปักกิ่งก็เลยมีเวลาชมธรรมชาติ และฟังเรื่องสุสานต่อไปว่า สำหรับทหารรถม้านั้น รถคันหนึ่งจะเทียมม้า 4 ตัวข้างหน้า คนขับรถม้าอยู่กลาง สองด้านเป็นทหารธนู และข้างหลังอีก 3 คน คนหนึ่งถือไม้ไผ่ยาวๆ 4 เมตร กวาดสิ่งของที่ขวางทาง นอกจากนั้นยังมีนายทหารในกองบัญชาการทั้งหมดมี 8,000 คน เดี๋ยวนี้ขุดหลุมเดียว อีก 2 หลุมได้สำรวจแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ สุสานนี้กว่าจะสร้างเสร็จใช้เวลา 11 ปี ภายในสุสานทำเป็นท้องฟ้า มีดาว เดือน ตามบันทึกว่า สมบัติถูก เซี่ยงหยู่ ซึ่งเป็นคู่แข่งของ หลิวปัง กษัตริย์ราชวงศ์ ฮั่น องค์แรกมาปล้นไปส่วนหนึ่ง ในขณะที่มณฑล ส่านซี และ หลิวปัง กำลังรบกัน ขณะนั้นเมืองหลวงของราชวงศ์ ฮั่น อยู่ที่ ซีอาน พูดถึงราชวงศ์ ฮั่น คุณซุนหมิงบอกว่า ฮั่น ก็มีหุ่นจำลองเหมือนกัน มีทั้งตุ๊กตาคนตุ๊กตาม้า แต่ตัวเล็กกว่าหุ่นของราชวงศ์ ฉิน พวก ฉิน นี้มีอิฐที่ดีมาก ส่วนสมัย ฮั่น ทำกระเบื้องได้ดี พรุ่งนี้ที่พิพิธภัณฑ์จะได้ดูของจักรพรรดิ ฮั่น แล้วคุณซุนหมิงก็เล่าเรื่อง หวาชิงฉือ ว่า บ่อน้ำร้อนนี้มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ โจว เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีแร่กำมะถัน ใครมาอาบแล้วทำให้ผิวหนังดี เขาบอกว่ามีเรื่องเล่ากันมาว่าตรงนี้ (หวาชิงฉือ) ในสมัยราชวงศ์ โจว มีจักรพรรดิองค์หนึ่งทรงพระนามว่า โจวยิวหวัง ได้พระสนมคนหนึ่งชื่อ เป่าซื่อ พระสนมนี้ไม่ดีกับจักรพรรดิ ทั้งๆ ที่พระจักรพรรดิพยายามเอาใจนางทุกๆ ประการ นางก็ไม่ยอมยิ้มกับ

(น.163) ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นรูปมังกร เอาไปใส่ไว้ในบ่อน้ำที่พระจักรพรรดิจะมาสรงน้ำกับพระสนม เมื่อจักรพรรดิมาถึงเห็นมังกรอยู่ในน้ำกระเพื่อมๆ ก็ตกพระทัยสะดุ้งกลัว เพราะคิดว่าเป็นมังกรเป็นๆ เลยสรงน้ำไม่ได้ จนเสนาบดีต้องมาเอามังกรหยกออก รถแล่นเข้าเขตอุตสาหกรรมผ่านโรงงานไฟฟ้า ผ่านแม่น้ำ บ้านเรือนแถบนี้ คุณซุนหมิงบอกว่าสร้างแบบราชวงศ์ เหม็ง แต่สมัยเหม็งใช้กระเบื้องมุงหรูหรากว่า ที่นี่บ้านมักจะก่ออิฐเฉยๆ ใช้ปูนซีเมนต์ยาบ้าง แต่ไม่ใช้เหล็กเลย ที่เห็นเป็นบ้านของชาวนาในคอมมูน แถวนี้มีต้นหลิวมาก คุณซุนหมิงบอกว่า ตามบทกวีสมัย ถัง มีจดไว้ว่า แถบนี้เต็มไปด้วยต้นหลิว ในฤดู ชุนเทียน หลิวจะออกดอกเหมือนสำลีปลิวขาวเต็มไปหมด บริเวณเมืองซีอานมีแม่น้ำ 8 สาย ขณะนี้น้ำน้อยลงเพราะใช้มาก ทางจีนกำลังหาทางแก้ไขปัญหาน้ำ แม้ว่าจะมีการชลประทาน น้ำสำหรับการเกษตรพอแล้ว แต่น้ำใช้ยังไม่พอ ลำบากหน่อยเพราะทางการเกษตรก็ต้องใช้น้ำ ในเมืองก็ต้องใช้น้ำ ปีนี้ดีหน่อยที่มีฝน ปีกลายแล้ง แถวนี้เห็นเขาผูกม้าเอาไว้หลายตัว เห็นหมูตัวหนึ่งสีเทาๆ ขนยาวกว่าหมูเมืองไทย ข้างถนนมีตลาดนัด เขาบอกว่ามีตลาดอย่างนี้ทุกวัน รถผ่านแม่น้ำ ป้าเหอ ซึ่งเป็นแม่น้ำกว้างพอใช้ มีสะพานคู่กันสะพานหนึ่งดูเหมือนจะสำหรับรถไฟ (ข้าพเจ้ามองไม่ชัด) เวลานี้ไม่ค่อยมีน้ำ เห็นมีโคลน ไหลรินๆ อยู่หน่อย เป็นน้ำที่เกิดจากฝนตกเมื่อคืนนี้ เราเลยคุยกันเรื่องๆภูเขาต่างๆ ว่าภูเขา ชิงหลิง ไม่ค่อยมีต้นไม้ หัวซาน เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตอนนี้กำลังซ่อมทาง

(น.164) ซึ่งชันมาก และแคบด้วย มียอดเขา 5 ลูก ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ ภูเขาไป๋ซานเป็นภูเขาสูงมากของมณฑล บางทีเดือนมิถุนาแล้วยังมีหิมะอยู่เลย บ้านบางหลังแถวๆ นี้ทำด้วยดิน วิธีทำฝาบ้านและกำแพงแถวนี้เขาเอาไม้ตั้งเป็นไม้แบบ เอาดินผสมน้ำผสมฟางใส่ในไม้แบบพอดินแข็งดีก็เอาออกจากไม้แบบ แล้วเอาดินพอกให้เรียบสวยงามว่าแล้วเราก็คุยกันเรื่องการเพาะปลูกอีกว่าเขาจะเก็บเกี่ยวข้าวสาลีประมาณ 1 – 10 มิถุนายน รถผ่านสวนทับทิม เป็นผลไม้ที่เขาปลูกจริงๆ จังๆ เป็นไร่ๆ เลย ที่เราเห็นนี้ทับทิมกำลังออกดอกสีแดงสวยงามมาก ดอกโตกว่าทับทิมบ้านเรา ต้นสูงกว่าด้วย คุณซุนหมิง บอกว่าต้นทับทิมเปรี้ยวป้องกันโรคมะเร็งได้ ที่ซีอานนี้มีกิจกรรมอีกประเภทหนึ่งคือการเลี้ยงผึ้ง น้ำผึ้งดอกทับทิมนั้นได้ยินว่ามีคุณภาพดี แอ๋ว อารยาและทิพย์ ซื้อมาทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ใต้ต้นทับทิมเขาปลูกข้าวสาลีบางส่วน ถัดจากไร่ทับทิมเป็นที่ปลูกผักเป็นร่องๆ ที่นี่เขาเอาดินพูนเป็นกองยาวๆ สำหรับกันลมด้วย ข้าพเจ้าสงสัยว่าเขาปลูกผักกันมากๆ อย่างนี้ กินกันเองแถวๆ นี้จะหมดหรือ ได้รับคำตอบว่าเขาเอาไปขายในเมือง ในอำเภอถัดออกไปเป็นสวนพลับ พลับที่นี่ผลเล็กไม่มีเม็ด เวลาสุกแล้วจะหวานมาก ตอนนี้รถเลี้ยวเข้าไปจะถึงที่จุดหมายปลายทางแล้ว เชิงเขาด้านซ้ายมือเป็นสุสาน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าถาม


(น.170) รูป 84 ซีอาน ห้องพิพิธภัณฑ์ที่สุสานพระเจ้าฉินสื่อหวังตี้

(น.170) แต่ตัวอย่างและตัวที่น่าสนใจบางตัวเท่านั้น และเขียนรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร ปัญหาที่จะค้นคว้ามีหลายอย่าง เขาจึงทำสถานที่นี้เป็นสถานสำหรับคนมาดูและศึกษาได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 1979 เขาพาเราไปดูอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องโชว์ของที่มาจากหลุม มีวัสดุต่างๆ อาวุธซึ่งทำด้วยโลหะ และตุ๊กตาหุ่นบางตัวที่มีลักษณะน่าสนใจ

(น.180) (warm welcome) ครูยังพูดให้เราขบขันกันว่า เมืองไทยเราต้อนรับ “อย่างอบอุ่น” คงจะไม่ค่อยสบายนัก เพราะอากาศบ้านเราร้อน ข้าพเจ้าก็คิดในใจว่า ถ้าอย่างนั้นถ้าพูดว่า “ต้อนรับอย่างเย็นสบาย” คงทำให้แขกผู้มาเยือนมีความสุขที่สุด) เขาบอกว่าต้อนรับ “อย่างอบอุ่น” นั้นยังไม่ถึงใจพวกเขาที่พยายามจะต้อนรับเราอย่างดีที่สุด จากเรื่องย่อที่เขาเล่าทำให้เราทราบว่า หวาชิงฉือ เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ อยู่เชิงเขา หลีซาน นี้ อยู่ทางด้านตะวันออกของซีอานประมาณ 36 กิโลเมตร เริ่มใช้บ่อน้ำนี้ตั้วแต่สมัยราชวงศ์ ซีโจว (โจว ตะวันตก) ราชวงศ์ต่างๆ มี โจว ฉิน ฮั่น ถัง ต่างได้มาตั้งเมืองหลวงที่นี่ ราชวงศ์ ถัง ได้มาสร้างพระราชวังฤดูร้อนที่ใหญ่ที่สุด ระหว่างที่เขาพูดอยู่นี้ก็มีน้ำชามาเลี้ยงตามธรรมเนียมเดิม แต่พวกเราทั้งไทยและจีนไม่ต้องการจะเสียเวลามากนักจึงขอรีบออกไปชมสถานที่กันเลย เมื่อออกไปนอกห้องทางจีนก็เรียกทุกคนให้มาถ่ายรูปหมู่กันหน้าบ่อน้ำ จิ่วหลงถัง หรือบ่อน้ำมังกร 9 ตัว วิวข้างหลังจึงเป็นบ่อน้ำและไกลออกไปเป็นภูเขาค่อนข้างสูง สวยงามมาก ตอนแรกเห็นบ่อน้ำเก้ามังกรนี้ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ข้าพเจ้าดีใจแทนพระสนมเพราะว่าต้องอาบน้ำเย็นแบบนี้ ถ้าไม่แข็งแรงอาจจะเป็นปอดบวมตายก็ได้ ถ่ายรูปป้าจันกำลังทดลองจับน้ำ เราเดินผ่านบ่อน้ำมังกร 9 ตัว ผ่านห้องที่เขาเปิดให้ประชาชนมาอาบน้ำได้ ตั้งแต่ ค.ฃส. 1971 คุณซุนหมิงบ่นว่าเรามีเวลาน้อย

(น.191) เป็นยาบำรุง อีกชนิดหนึ่ง หวงเหลียน เป็นยาขมมาก แก้โรค กระเพาะ ร้อนใน หรือท้องร่วงยาแก้โรคมะเร็งก็มี แต่เขาประสมด้วยอะไรก็ไม่รู้ ได้ยินว่ามีที่ เซี่ยงไฮ้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้สำเร็จเดี๋ยวนี้ใครเป็นมะเร็งเขาก็ผ่าตัด ฉายแสง และกินยาด้วย ข้าพเจ้าเล่าให้คุณซุนหมิงว่าในเมืองไทยเราก็มีสมุนไพรที่มาจากพืชชนิดต่างๆ อยู่บ้างเหมือนกัน ยาไทยหลายชนิดที่มีผู้นิยมรักษาโรคได้ดีไม่แพ้ยาของต่างประเทศ แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกันว่าส่วนใหญ่จะต้องรับประทานมากเป็นหม้อๆ ถึงจะหาย ถ้าสามารถใช้ยาของเราเองไม่ต้องสั่งจากนอกก็ทุ่นไปมากแล้วข้าพเจ้าลองเอายาหอมที่ติดกระเป๋าส่งให้คุณซุนหมิงชิมดู ข้าพเจ้าเคยเอายาหอมให้ฝรั่งชิม ฝรั่งไม่ยักชอบ บอกว่ารสชาติแย่ ใสฝิ่นหรือกัญชาหรือเปล่า บางคนทำหน้าสยอง สั่นหัวเดียะ ไม่ยอมชิม คุณซุนหมิงรับยาหอมไปชิมอย่างสบายใจ แถมวิจารณ์ส่วนผสมของยาหอมด้วย ยาจีนอีกสองอย่างที่คุณซุนหมิงบอกมี โปเหอ ซึ่งเขาทำเป็นทอฟฟี่อมแล้วชุ่มคอ และยา หลิ่วเสินหวาน (อันนี้ไม่แน่ใจว่าจดมาถูก) เป็นเม็ดเล็กๆ ดำๆ แก้เจ็บคอ ข้าพเจ้าคิดว่าต้องเป็นอะไรสักอย่างที่เมืองไทยก็มีขาย นอกจากเรื่องยาแล้ว เรายังคุยกันอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องภาษาจีน ข้าพเจ้าพยายามเขียนคำต่างๆ อีกหลายคำ คุณซุนหมิงบอกว่า ในซีอานมีภาษาพูด 3 ภาษา แต่คนส่วนมากแม้แต่ในครอบครัวก็พูดภาษากลางกันหมดแล้ว

(น.193) สารสินได้จัดการเติมชื่อคนที่จะต้องอวยพรให้เรียบร้อยแล้ว วันนี้การปราศรัยเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนสุดท้ายมีการพูดประโยคภาษาจีนด้วยว่า จูไท่จงโหย่วอี้ว่านกู่ฉางชิง หมายความว่าขอให้มิตรภาพระหว่างไทยกับจีนจงสถิตสถาพร เสร็จแล้วมีการเดินไปรอบๆ โต๊ะชนแก้วตอบ ความจริงนับว่าเคราะห์ดีที่ใช้เหล้าข้าวหมาก นี่ยังไม่รับประทานอะไรอื่นไปสักกี่คำก็ต้องดื่มเหล้าแล้ว ถ้าเป็นเหล้าแรงๆ คงจะเมากันไปข้างหนึ่งแน่ ในโต๊ะอาหารเราก็คุยกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องการตั้วผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการมณฑล ว่าเป็นการเลือกตั้วของประชาชนที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอว่าเอาใครดี แล้วให้ราษฎรตัวแทนในสมัชชาโหวตด้วย ถ้าไม่เป็นที่พอใจของรัฐบาลหรือประชาชนฝ่ายใดฝ่าย

(น.194) หนึ่ง ก็ต้องเลือกใหม่เป็นครั้งหนึ่งมีกำหนดประมาณ 3 ปี ถ้าประชาชนอยากให้เป็นต่อก็ดป็นได้ ข้าพเจ้าบอกกับท่านผู้สว่าราชการมณฑลว่า ท่านผู้หญิงมณีรัตน์สนใจเกี่ยวกับการทอผ้าและการปักผ้าของจีน ผู้ว่าราชการมณฑลกล่าวว่า ที่เมืองซีอานนี้ก็มีการทอผ้าด้วยเครื่องจักรในโรงงานอยู่หลายแห่ง จะจัดให้ไปดูที่ไม่ไกลนัก ท่านผู้หญิงดีใจมากจัดการพาพรรคพวก ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องการทอผ้าแล้ว ท่านผู้หญิงสนใจมากเพราะทำงานด้านนี้มานานแล้ว แต่เป็นเรื่องของผ้าทอมากกว่าพวกผ้าฝ้ายที่ท่านผู้หญิงหาครูไปสอนชาวบ้านและตั้งกลุ่มเอาไว้ ก็สามารถใช้ทำเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ ได้อย่างสวยงาม ส่วนการปักนั้น ท่านผู้หญิงให้ตุ๋ย กับคนอื่นๆ คิดลายให้ชาวบ้านปักทำหมอนและอื่นๆ ซึ่งเป็นการช่วยคนจำนวนมากให้มีรายได้เพิ่มเติมโดยไม่ต้องเรียนนานนัก หลังจากนั้นก็พูดกันถึงสัตว์ต่างๆ ท่านผู้ว่าราชการมณฑลถามข้าพเจ้าเรื่องช้างในเมืองไทยว่าทำอะไรได้บ้าง ในจีนมีนิยายปรัมปราว่าจีนใช้ช้างไถนาได้ ตอนนี้จีนก็ไม่มีช้างแล้ว เวลาจะแกะสลักงาช้างก็ต้องซื้องาช้างจากต่างประเทศ ข้าพเจ้าเล่าว่า เมืองไทยมีช้างมากจริงๆ แต่เราไม่ใช้ช้างไถนา มีแต่ใช้ลากซุง อุตสาหกรรมป่าไม้ของเราต้องใช้ช้างเป็นแรงงาน นอกจากนั้นยังใช้ขนของหนักๆ บุกป่าขึ้นเขาได้ด้วย บางทีเขาใช้ช้างเล่นละครก็ได้ ให้เล่นกีฬากับคน เช่น เล่นฟุตบอล (ช้างชอบขี้โกงไม่เคารพกฎ) ในสมัยโบราณเราใช้ช้างเป็นพาหนะในการทำศึก ในวังมีช้างสำคัญหลายเชือก ข้าพเจ้าชอบช้างมาก เคยเล่นกับช้างเมื่อตอนเด็กๆ ช้างเป็นสัตว์ฉลาด