<< Back
ราชวงศ์ชิง
จากหนังสือ
เกล็ดหิมะในสายหมอก
เกล็ดหิมะในสายหมอก เล่ม 1 ปักกิ่ง หน้า 3
(น.3) มณฑลเหลียวหนิง จี๋หลิน และเฮยหลงเจียง ซึ่งเป็นดินแดนถิ่นกำเนิดของพวกแมนจู ภาษาจีนเรียกว่าพวกหม่านโจว ต่อมาได้รวมกันตั้งราชวงศ์ชิง เข้าบุกปักกิ่งและใช้เป็นราชธานีต่อมาจนสิ้นราชวงศ์ ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือยังเป็นดินแดนสำคัญในประวัติการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปัจจุบันก็ยังมีบทบาทในด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองของจีนเนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ทั้งยังมีทัศนียภาพที่งดงาม สภาพภูมิศาสตร์ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
เกล็ดหิมะในสายหมอก เล่ม 1 ปักกิ่ง หน้า 91
(น.91) จึงนำเจดีย์องค์เล็กๆจากพระราชวังหลวงในปักกิ่ง เป็นของในสมัยราชวงศ์ชิง มาประดิษฐานพระบรมธาตุ และสร้างเจดีย์ใหญ่ (ที่เราขึ้นไป) ที่วัดหลิงกวงในปี ค.ศ. 1955 เจดีย์ทองบรรจุพระเขี้ยวแก้วดูเป็นแบบเจดีย์ลัทธิ ลามะทิเบต มีจารึกซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นตัวเทวนาครี ภาษาสันสกฤต แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบเนื้อความ (ความจริงน่าจะเป็นตัวสิทธัมเป็นอักษรอินเดียที่ใช้จารึกมนตร์ต่างๆ ทางลัทธิตันตระ) ปี ค.ศ. 1957 อูนุเป็นนายกรัฐมนตรีพม่า มาขอเชิญพระธาตุไปบูชาที่พม่า (ผ่านสิบสองปันนา) เป็นเวลาหนึ่งปี
เกล็ดหิมะในสายหมอก เล่ม 2 เหลียวหนิง หน้า 47-48,55-56,64-75,88
(น.47) สุสานตงหลิงที่เสิ่นหยางนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าฝูหลิงฝู แปลว่าโชคดี หรือความสุข เป็นสุสานของพระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชิงหรือเช็ง และพระมเหสีในราชนิกูลเย่เฮ้อนาลาซื่อ สร้างใน ค.ศ. 1629 เสร็จในปีค.ศ. 1651 เข้าถึงประตูหน้าเจิ้งหงเหมิน เขาอธิบายว่าสมัยก่อนต้องเป็นจักรพรรดิจีนจึงเข้าประตูกลางได้ อีกสองประตูสำหรับขุนนาง ทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋น (คนอื่นจะต้องอ้อมไปทางไหนไม่ทราบ) เมื่อพ้นประตูนี้เข้าไปมีถนนซึ่งเรียกว่า เสินเต้า แปลว่า ทางสำหรับเทวดา เฉพาะจักรพรรดิจึงเสด็จพระราชดำเนินตามทางนี้ได้ อันที่จริงแล้วจักรพรรดิองค์อื่นๆนอกจากองค์แรกก็ไม่กล้าเสด็จพระราชดำเนิน
(น.48) เพราะถือว่าองค์แรกสวรรคตแล้วไปเป็นเทวดา (นี่เขาเล่าแบบนี้ไม่ได้ไปค้นคว้าว่าจริงหรือไม่) สองข้างทางเดินมีเสาเรียกว่าหัวเปี่ยว เป็นเสามงคล เขาว่าเดิมเป็นหลักบอกทาง ต่อมาเป็นที่สำหรับชาวบ้านมาเขียนข้อความร้องเรียน ในระยะหลังกลายเป็นเสาแสดงอำนาจของจักรพรรดิ เรื่องความหมายของเสานี้จะต้องค้นคว้าต่อไป
(น.55) สมัยราชวงศ์ชิงมีสุสาน 3 แห่งที่อยู่ใกล้บริเวณเมืองเสิ่นหยาง ได้แก่ สุสานตงหลิงแห่งนี้ สุสานเป่ยหลิงที่จะไปพรุ่งนี้ อีกแห่งชื่อหย่งหลิงอยู่ในเขตปกครองตนเองซินปินหม่านโจว สร้างมาตั้งแต่ราชวงศ์ หมิง เป็นที่ไว้พระศพบรรพบุรุษพระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อหลายชั่วคน แต่ว่าสุสานตงหลิงแห่งนี้ภูมิสถานดีที่สุด ถูกตามตำราทำฮวงซุ้ย คือด้านหน้ามีแม่น้ำหุนเหอ ด้านหลังมีเขาเทียนจู้ สองข้างทางเดินมีต้นสน (2ใบ) ซึ่งเป็นไม้มงคล หมายถึงอายุยืนยาวและเขียวสดเสมอทั้งปี อาคารแรกที่ไปถึงได้แก่เปยถิง คือศาลาศิลาจารึก พระเจ้าคังซีเป็นผู้จารึกในปี ค.ศ. 1688 แสดงพระราชกรณีกิจของพระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อ ศิลารึกนี้เขียนเป็น 3 ภาษา คือภาษาจีน ภาษาแมนจู และภาษามองโกล วางอยู่บนหลังของสัตว์มงคลชนิดหนึ่ง รูปร่างเหมือนเต่า เรียกว่า ปี้ซี่ แบกของหนักได้เก่ง
(น.56) เป็นลูกมังกร ต่อจากนั้นเดินต่อไปที่สุสานซึ่งเป็นอาคารหลักหรืออาคารประธาน ประกอบด้วยพระตำหนัก 3 องค์ ได้แก่ ตงเพ่ยเตี้ยน เป็นที่ประดิษฐานพระป้าย ด้านตะวันตกเรียกว่า ซีเพ่ยเตี้ยน สำหรับพระลามะมาทำพิธี ตรงกลางเรียกว่า หลงเอินเตี้ยน เป็นที่กราบไหว้บรรพบุรุษ ขณะนี้เขาจัดเป็นพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งรูปจักรพรรดิในราชวงศ์ชิงได้แก่
(น.64) รูป 77 พระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อ
(น.64)
1. พระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อ (ค.ศ.1559-1626) พระนามเมื่อครองราชย์ว่า ชิงไท่จู่ ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1616-1626 เป็นผู้รวมชนเผ่าและสถาปนาราชวงศ์ชิง สิ้นพระชมน์ในสนามรบ
(น.65) รูป 78 พระเจ้าหวงไท่จี๋
รูป 79 พระเจ้าซุ่นจื้อ
(น.65)
2. พระเจ้าหวงไท่จี๋ (ค.ศ. 1592-1643) พระนามเมื่อครองราชย์ว่า ชิงไท่จง ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1627-1643 เป็นโอรสองค์ที่ 8 ของพระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อ มักตามพระราชบิดาไปในการรบอยู่เสมอ พระศพฝังที่เป่ยหลิง สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนม์ 52 พรรษา
3. พระเจ้าซุ่นจื้อ (ค.ศ. 1644-1661) พระนามเดิมว่า ฝู่หลิน เป็นองค์แรกที่เข้าปักกิ่งได้เมื่อพระชนม์ 6 พรรษา ขึ้นครองด้วยพระองค์เองเมื่อมีพระชนม์ได้ 18 พรรษา เป็นผู้รวมจีนและวางรากฐานการปกครองราชวงศ์ชิง
(น.66) รูป 80 พระเจ้าหย่งเจิ้ง
(น.66)
4.พระเจ้าคังซี (ค.ศ.1662-1722) หุ่นขี้ผึ้งให้เห็นว่าแต่งพระองค์ธรรมดาๆ ไม่แต่งชุดจักรพรรดิ เข้ากับประชาชนได้ดี ทรงอยู่ในราชสมบัติ 61 ปี (8-69 พรรษา) เป็นช่วงที่จีนอยู่ในยุคแห่งความสุข แผ่พระราชอำนาจกว้างไกล
5. พระเจ้าหย่งเจิ้ง (ค.ศ. 1723-1735) เป็นพระโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าคังซี ตามตำนานบางเรื่องว่าเป็นคนโหดร้ายช่วงชิงอำนาจมา บางเรื่องก็ว่าวางยาพิษพระเจ้าคังซี ตามตำนานที่เขาเอามาแต่งเป็นหนังเรื่อง “ศึกสายเลือด” ที่ฉายใน
(น.67) รูป 81 พระเจ้าเฉียนหลง
(น.67) โทรทัศน์บอกว่า เดิมพระเจ้าคังซีเขียนพินัยกรรมระบุถึงผู้ที่จะสืบทอดพระราชสมบัติต่อไปว่าให้องค์ชายที่สิบสี่หรือองค์ชาย 14 เขียนภาษาจีนว่า 十四 แต่หย่งเจิ้งแก้เป็น 于四 แปลว่าให้องค์ชาย 4 แต่ไกด์บอกว่าเขาไม่เชื่อตำนานนี้ เขาคิดว่าพระองค์ทรงได้ราชสมบัติอย่างถูกต้อง การแก้ตัวอักษรจีนอาจทำได้ แต่แก้อักษรแมนจูทำไม่ได้
(น.68)
6. พระเจ้าเฉียนหลง (ค.ศ.1736-1795) ทำเป็นรูปจักรพรรดิถือพู่กัน เพราะเป็นกษัตริย์นักปราชญ์ เขียนบทกวีและเขียนภาพ พระองค์อยู่ในราชสมบัติ 60 ปี ก็สละราชสมบัติเพราะไม่ต้องการครองราชย์นานเกินกว่าพระอัยกาธิราช ให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ แต่พระองค์สำเร็จราชการอยู่อีก 3 ปี ฉะนั้นอยู่ในอำนาจ 63 ปี พระชนม์ยืนถึง 89 พรรษา เรียกกันว่าเป็นผู้มีอำนาจนาน ทรงพระปรีชาสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊
ทั้ง 6 พระองค์นี้อยู่ในช่วงที่ราชวงศ์ชิงเจริญถึงจุดสูงสุด ต่อจากนั้นก็อยู่ในยุคเสื่อม เรื่องการขึ้นสู่อำนาจและความเสื่อมของราชวงศ์นั้นเป็นเรื่องที่ชวนให้คิด ผู้ที่ได้อำนาจตอนต้นมักมาจากดินแดนที่ยากจน ยากลำบาก จึงต้องดิ้นรน เมื่อได้อำนาจแล้วบางคนก็รักษาอำนาจไว้ไม่ได้ เพราะการที่จะรักษาอำนาจได้มีปัจจัยหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือการปกครอง การบริหารที่มีระบบ อย่างที่เรียกว่ามีระบบที่ดีแล้ว ไม่สำคัญที่ตัวบุคคล เมื่อมีระบบบริหารที่ดีทำให้สามารถหารายได้มาใช้ในการบริหาร (ไม่มีรายได้ก็บริหารไม่ได้) การหารายได้ที่ดีที่สุดคือการเก็บภาษีอากร ถ้าระบบเก็บภาษีอากรล้มเหลวก็ขาดรายได้ เป็นส่วนที่นำความล้มเหลวมาสู่ผู้มีอำนาจ อีกประการหนึ่งเมื่อมีระบบที่สมบูรณ์แล้ว ความคล่องตัวในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อันทำให้ราชวงศ์หรือผู้มีอำนาจนั้นอยู่รอดได้ก็ลดลง เมื่อมีอำนาจใหม่มาท้าทายก็มักจะพ่ายแพ้อยู่ไม่ได้
(น.69) รูป 82 พระเจ้าเจียชิ่ง
(น.69)
7. พระเจ้าเจียเชิ่ง (ค.ศ. 1796-1820) เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 15 ของพระเจ้าเฉียนหลง ไกด์บอกว่าตลอดพระชนม์ชีพทรงสำราญเกินไป เนื่องจากอยู่ในยุคที่บ้านเมืองรุ่งเรือง ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชมน์ 42 พรรษาแล้ว พระสติปัญญาไม่สูงเท่าพระราชบิดา ราชวงศ์ชิงจึงเริ่มเสื่อมในสมัยพระองค์ ข้าพเจ้าถามว่าทำไมหุ่นแต่งพระองค์ธรรมดาๆ ไกด์ว่าเป็นความดีอย่างหนึ่งของพระองค์ที่ชอบคบและดูแลทุกข์สุขของคนธรรมดา
(น.70) รูป 83 พระเจ้าเต้ากวง
รูป 84 พระเจ้าเสียนเฟิง
Next >>